เรารักสุพรรณ สถานที่ท่องเที่ยวสุพรรณบุรี

 20090811 1461006706 คนตลาดเจ็ดเสมียนรุ่นเก่า มาร่วมสังสรรค์กันในงานเลี้ยงงานหนึ่งที่กลางตลาดเจ็ดเสมียน ปัจจุบันผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่ในภาพ เสียชีวิตไปหมดแล้ว

    ผมบอกให้ไอ้เหม่งไปเรียก ไอ้ธร กับพรรคพวกมาที่หลุมที่เราขุดนี้  พวกไอ้ธรและคนอื่นๆ มันก็เจอหลุมของมันเหมือนกันที่ทำท่าว่าจะมีเปลือกหอยเยอะแต่พอเอาออกมาจริงๆมีไม่กี่กาบเท่านั้นเอง ควานหาจนทั่วหลุมแล้วก็ไม่พบสักกาบ ต้องเปลี่ยนหลุมใหม่เรื่อยไป

ไอ้เหม่งบอกมันว่า ให้มาที่หลุมของเราเถอะมีเปลือกหอยเยอะ ขุดขึ้นมาเอาใส่กระสอบเท่าไรก็ไม่หมด จึงอยากให้มาเอาตรงนั้นดีกว่า

ไอ้ธร ไอ้โล ไอ้วี และอีกสองสามคนจึงย้ายมาที่หลุมที่ผมนั่งอยู่ในหลุมนั้น แต่ก็มีเด็กตลาดอีกหลายคนที่มาด้วยกัน ไม่ย้ายหลุมตามมาด้วยเพราะว่าหลุมของเขาก็พบกับเปลือกหอยมากอยู่แล้ว

12052

ผู้เขียนกับไอ้ธร (สาธร วงษ์วานิช) เมื่อครั้งที่โตกันแล้วออกจากเจ็ดเสมียน สาธรมาเยี่ยมนายแก้วถึงบ้านพักของการรถไฟที่มักกะสัน

 สามคนนั้นที่ย้ายมาที่หลุมที่ผมพบเปลือกหอยนั้น พอมาถึงได้เห็นแล้ว ก็ตาลุกทันที ไอ้ธรรีบถามผม

“เก้ว (มันเรียกชื่อผม) มึงพอแล้วหรือมาทั้งทีถ้ายังมีอีกก็เอาไปให้มากที่สุด จะได้คุ้มกับที่เรามาขุดกันเสียเหนื่อย “  ผมก็บอกว่า

“ ไม่พอก็ต้องพอโว้ยเสียดายว่ะ เอากระสอบมาแค่สองใบเท่านั้น แล้วพอตอนที่จะขนกลับนั้นก็เกิดปัญหาอีก” 

“ปัญหาอะไรวะเก้ว”  ไอ้โลถามผม ผมบอกว่า

“สองกระสอบนี้จะมีปัญญาซ้อนท้ายรถจักรยานไปหรือ”  แล้วผมก็ส่ายหน้า เหมือนหนักใจจริงๆ

ไอ้วีสอดขึ้นมาบ้าง ในขณะที่ไอ้เหม่งนั่งมองรุ่นพี่ปรึกษากันตาเขม็ง

“ ไอ้เก้ว มึงก็โง่ฉิบหาย ทำไมมึงไม่คิดถึงรถสามล้อบ้างวะ กลับไปจ้างรถสามล้อมาบรรทุกเลย กูว่าสักสามกระสอบก็เอาไหวนะมึง “ ไอ้วีบอกผมพอมันพูดออกมาอย่างนี้ ปัญญาของผมก็เกิดกระจ่างขึ้นมาทันที

 20090811 1396917413

ไอ้โล (อโณทัย ไทยสวัสดิ์ ) ที่ป้ายสถานีรถไฟเจ็ดเสมียน ป้ายรุ่นเก่า

ในเวลานั้นรถสามล้อที่รับจ้างรับคนจากหัวหนอง (หนองบางงูเป็นทางเชื่อมเข้าไปตลาดเจ็ดเสมียน  ) ไปที่ตลาดระยะทาง ๒ กิโลเมตรนั้น ก็เริ่มมีหลายคันแล้ว ในตอนนั้นค่าโดยสารเพียงคนละ ๑ บาทเท่านั้นเอง

โดยเฉพาะที่บ้านกำนันโกวิทนั้นมีอยู่ สองคัน เป็นของ ไอ้เล็ก (ยงยุทธ วงศ์ยะรา ) ๑ คัน และเป็นของ ไอ้นิด (ยุทธนา วงศ์ยะรา) อีก ๑ คัน สามล้อทั้งสองคันนี้ เป็นของสองคนพี่น้อง รับผู้โดยสารระหว่าง หัวหนอง กับตลาดเป็นประจำ

ในตอนเย็นๆเมื่อว่างจากการถีบสามล้อ พวกมันรวมทั้งเพื่อนๆเด็กตลาดเจ็ดเสมียนอีกหลายคน ไปออกกำลังเล่นกล้ามกันที่ไต้ถุนบ้านกำนัน กับเฮียตี๋ (จตุรงค์ วงศ์ยะรา) มันก็เอารถไปจอดไว้ที่บ้านพ่อมัน ทุกเย็น

บางวันถ้าไม่เล่นกล้าม ก็ไปเตะบอลหรือไปวิ่งเล่นกันที่สนามหน้าโรงเรียน

 20090811 1346018474 

โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน (สัจจานุกูล) มีสนามกว้างใหญ่ มีคนไปนั่งเล่น วิ่งเล่น ในตอนเย็นทุกวัน

เมื่อผมคิดได้ดังนี้แล้วก็นับว่าหมดปัญหา เพราะว่าผมสามารถที่จะไปยืมรถสองคันนี้ คันใดคันหนึ่งได้เลย เพราะว่าผมกับสองคนนี้เป็นเพื่อนกันที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆที่ตลาดเจ็ดเสมียน

คิดได้ดังนี้แล้วผมก็เลยบอกไอ้เหม่งถึงความคิดของผมว่า  ผมอยากจะไปเอารถสามล้อมาบรรทุก เปลือกหอยกาบ ๒ กระสอบนี้ แต่ในเวลานี้ให้ไอ้เหม่งมันเฝ้าเปลือกหอย ๒ กระสอบนี้ไว้ก่อน ผมจะขี่จักรยานย้อนกลับไปเอารถสามล้อของไอ้เล็ก จากที่บ้านกำนันมาบรรทุกเปลือกหอยของเรากลับไป

“ไอ้เหม่งมึงรออยู่นี่ก่อนก็แล้วกันนะ แล้วพอพี่เอารถสามล้อมาแล้ว เราก็กลับพร้อมกันเลยทีเดียว เข้าใจนะเหม่ง “

ไอ้เหม่งพยักหน้ารับรู้

ไอ้ธรบอกว่า “ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามึงทำสำเร็จแล้ว บอกไอ้เล็กมันด้วยกูขอเช่าต่อเลยนะ ของกูก็สองกระสอบ ต้องอาศัยรถสามล้อเหมือนกันแหละวะ

เมื่อรู้เรื่องกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็จูงจักรยานของผมขึ้นไปบนถนน คร่อมแล้วถีบออกรถไปเลย เพราะว่าใจไปอยู่ที่รถสามล้อของไอ้เล็กแล้ว ก่อนออกรถมานั้น ผมสังเกตเห็น คนทยอยกันเข้ามาขุดเปลือกหอยกาบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะแน่นบริเวณนั้นแล้ว

  20090811 2093370055บ้านกำนันในสมัยนั้นเป็นบ้านไม้ยกสูง ข้างล่างโล่ง ใช้เป็นที่ทำการของกำนันด้วย

ผมปั่นจักรยานยิกๆอย่างเร็วเล่นเอาหอบ เพราะว่าอยากจะให้ถึงบ้านกำนันเร็วๆ  เวลานั้นก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ทีแรกยังคิดเลยว่าขุดเปลือกหอยกาบนั้น คงไม่นานหรอกก็ได้กลับบ้านแล้ว คงจะไม่ถึงเพลดีก็คงเรียบร้อย แต่ก็ผิดกับที่คิดไว้ เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงแล้วงานยังไม่สำเร็จเลย

เป็นห่วงไอ้เหม่งมันจะหิวข้าวจึงต้องเร่งปั่นจักรยาน ให้ถึงบ้านกำนันให้เร็วที่สุดระยะทางสองกิโลเมตร ไม่นานนักก็ถึงรีบเลี้ยวรถเข้าบ้านกำนัน มองเห็นรถสามล้อจอดเคียงกันอยู่สองคันก็ดีใจ คิดว่าเราก็เป็นคนโชคดีพอสมควร คิดอะไรก็ได้อย่างนั้น

ผมลงจากรถจักรยานได้ ก็รีบก้าวอาดๆ เข้าไปที่ไต้ถุนบ้านกำนันโกวิท เห็นไอ้เล็กมันนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้หวาย ใกล้ๆกับที่เราเล่นกล้ามกันในบางวัน ที่ไต้ถุนนั้น

ไอ้เล็ก (ยงยุทธ วงศ์ยะรา)เห็นผมเดินตรงมาหามัน มันก็รีบผลุดลุกขึ้นนั่งทันที แล้วถามผมว่า

“ไอ้เก้วมึงไปไหนมาวะดูเหมือนรีบร้อนจังเลยนะมึงนี่” 

“ก็มาหามึงนี่แหละ”

ผมบอกด้วยอาการเหนื่อยหอบ

“กูอยากจะเช่ารถสามล้อมึงสักเที่ยวหนึ่งว่ะ รถมึงว่างหรือเปล่าวะ กูจะเอารถไปบรรทุกเปลือกหอยกาบที่ท่ามะขามและให้มึงถีบไปให้ด้วย”

แล้วผมก็เล่าให้มันฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วมันก็ว่า

“ตัวกูน่ะไม่ว่างเลยจริงๆประเดี๋ยวจะไปที่บ้านยายต่าง (เป็นคนเจ็ดเสมียนเก่าแก่รุ่นแม่) ที่บ้านใน หน้าสถานีรถไฟสักหน่อย เขามีงานไง มึงไม่รู้เหรอ”

ไอ้เล็กไม่ว่างผมก็หน้าเสียเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไป ไอ้เล็กมันพูดว่า

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มึงก็เอารถกูไปก็ได้”

“แล้วคนขี่ล่ะ”  ผมถามมันอีก ไอ้เล็กมันบอกว่า

“ก็มึงขี่เองก็ได้นี่หว่าระยะทางแค่นี้เองไม่เห็นจะลำบากอะไรเลย เมื่อตอนที่กูเอารถไปจอดที่หน้าโรงเรียน กูเห็นมึงขี่รถกูเล่นทุกวันมึงก็ขี่ได้นี่หว่า  มึงขี่ไปเองเถอะกูไม่เอาตังค์หรอก มึงเอาไปเลยเสร็จธุระของมึงแล้ว ก็ค่อยเอามาคืนกูที่บ้านนี่แหละ”

“เออเอาตามนี้นะขอบใจว่ะเพื่อน เสร็จธุระแล้วกูจะเอารถมาคืน รับรองว่าจะอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเหมือนเดิม” ไอ้เล็กหัวเราะร่วนตามนิสัยของมัน

ที่จริงผมก็ขี่รถสามล้อนี่พอเป็นแล้วแหละ ผมขี่ของมันแทบทุกวันที่มันเอาไปจอดที่สนามหน้าโรงเรียนในตอนเย็นๆ ผมก็ขี่พอใช้ได้อยู่ มันจะไปยากอะไร

 

IMG 4209 

นายแก้ว ผู้เขียน ๗ มกราคม ๒๕๖๐

 

 20110510 1550505620

รุ่งเช้ากินข้าวเสร็จแล้วผมกับไอ้เหม่งก็ออกเดินทางทันที พร้อมด้วยจอบ ๒ อัน เสียมเล็ก ๒ อันเอาไว้คุ้ย กระสอบป่าน ๒ ลูก (กระสอบที่ใช้สำหรับใส่ข้าวสาร) เผื่อจะเจอเปลือกหอย ถ้าไม่เจอก็แล้วไป หมวกนั้นไม่ต้องเอามา เพราะสถานที่ตรงนั้นร่มครึ้มไปด้วยกอไผ่ป่า ไม่ร้อนแดดเลย

ผมถีบรถจักยานออกมาก่อนประเดี๋ยวเดียว ก็เห็นไอ้ธร ไอ้โล ไอ้วี ไอ้อู๊ด และเด็กตลาดอีกหลายรุ่นตามกันมาเป็นพรวน เมื่อพวกมันทันผมกับไอ้เหม่งแล้ว ก็ถีบไปคุยกันไปตลอดทาง โดยมากก็คุยกันเรื่องเปลือกหอยกาบนั่นเอง

ไม่นานนักก็ถึงที่หมาย ในเช้าวันนี้ผิดกับเมื่อวานนี้ เพราะว่าตรงที่พวกเราจะไปขุดกันนั้น มีคนตั้งหน้าตั้งตาขุดดินเป็นหลุมๆ อยู่หลายคนแล้ว แต่มองดูแล้วก็ยังไม่มีใครได้พบเปลือกหอยกาบแต่อย่างใด เมื่อถึงที่แล้วเอาจักรยานจอดกันเป็นแถว และเตรียมเครื่องมือ จอบเสียมแล้วพวกผมก็ลงมือกันทันที

 20090811 1928212139

 

เด็กตลาดเจ็ดเสมียนในอดีตส่วนหนึ่งเฉพาะรุ่นผู้เขียน ได้กลับมาพบกันเมื่อายุมากกันแล้วที่ศาลาประชาคมตลาดเจ็ดเสมียน ต่างคุยกันในเรื่องอดีตกันอย่างสนุกสนาน 

แถวนั่งจากซ้ายของภาพ สัมฤทธิ์ วงษ์วานิช,นายแก้ว (ผู้เขียน), นายอู๊ด (โอฬาร ลักษิตานนท์),นายโห้ (สุรพงษ์ แววทอง),

แถวยืนจากซ้ายของภาพ นายยงค์ (พลเรือตรี ประยงค์ เกษร),นายธร (เรือโท สาธร วงษ์วานิช),นายบูรณ์ (สมบูรณ์ สุรพลพินิจ),นายชาติ (สุชาติ สุขพันธ์) พันตำรวจตรี.......,นายวี (ทวี ชาญชาติณรงค์)

จุดที่เราจะเริ่มขุดกันนั้น อยู่ห่างจากพวกที่กำลังขุดกันอยู่มากเหมือนกัน ผมกระซิบบอกไอ้ธรว่า ให้ขุดกันลึกๆหน่อย เพราะเปลือกหอยเหล่านี้ถูกฝังดินมานานแล้ว และลึกพอสมควร ผมกับไอ้เหม่ง ขุดด้วยกันหลุมหนึ่ง ไอ้ธร ไอ้วี  ไอ้โล ก็อีกหลุมหนึ่ง เด็กตลาดคนอื่นๆนั้นก็รวมกลุ่มกัน ขุดเรียงรายกันไป

ในขณะที่ผมกับเพื่อนๆกำลังขุดกันนั้นสักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเฮจากผู้ที่มาขุดกันก่อนนั้น  แล้วได้ยินเสียงว่า "ได้แล้วโว้ย" "ได้แล้วโว้ย" พร้อมกับมีชายรุ่นหนุ่มคนหนึ่งชูเปลือกหอยกาบขึ้นสูงให้เห็นกันทั่วไป แล้วหัวเราะดังลั่น ผมหันไปมองเห็นเป็นเปลือกหอยกาบตัวใหญ่ เลอะดินอยู่จึงมองไม่รู้ว่าเป็นเปลือกที่สมบูรณ์หรือไม่ แตก บิ่น หัก บ้างหรือปล่า เมื่อมีสัญญาณว่าต้องมีเปลือกหอยอีกมากมายตามที่เขาเล่าลือกัน  ทุกคนจึงได้ออกแรงขุดกันยกใหญ่ เหงื่อตกไปตามๆกัน เพื่ออยากจะได้เป็นเจ้าของเปลือกหอยกาบสักฝาหนึ่งบ้าง

เวลาผ่านมาอีกไม่นานพวกที่มาก่อนหน้าเรานั้น ก็ได้พบเปลือกหอยกาบอีกเรื่อยๆ แล้วก็เอาไปใส่กระสอบไว้ ส่วนพวกผมนั้นครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่เห็นวี่แววเลย ขุดแต่ละหลุมลึกๆทั้งนั้น เมื่อขุดลึกจนพอใจและไม่พบเปลือกหอยแล้ว ก็เลื่อนที่ขุดไปเรื่อยๆ จนเกือบจะมาชนกับพวกผู้ที่มาขุดก่อนเราแล้ว

 20110728 1916149156

 

ไอ้เหม่ง (คุณคนอง คุ้มประวัติ) ในภาพนี้ตอนเขาเป็นหนุ่มแล้ว คนทางขวามือของภาพ

เมื่อผมกับไอ้เหม่ง เปลี่ยนหลุมใหม่ ขุดชิดเข้าไปทางริมกอไผ่ ตรงนั้นมองดูแล้วเหมือนดินยุบลงไปเป็นหล่ม คล้ายๆกับจะเป็นหลุมมาก่อน  และผู้ที่มาถมดินตรงนี้เอาไว้คล้ายจะถมไว้ไม่แน่น จึงดูดินยุบไปมากทีเดียว ผมคิดว่าถ้าหมดจากตรงนี้แล้ว จะลองเลื่อนถัดไปจากกอไผ่ กอนั้นสักหน่อย ถัดจากตรงกอไผ่นั้นไป ก็เป็นดงของเสือหมอบ ออกดอกเป็นเกสรเล็กๆสีขาวๆ เส้นๆ เต็มไปหมด เสือหมอบนี้ ผมไม่ชอบกลิ่นมันเสียเลย  มันเหม็นอย่างไรชอบกล 

ผมบอกไอ้เหม่งว่า "พี่ว่าตรงนี้แหละน่าจะมีเปลือกหอยบ้างนะ เรามาช่วยกันหน่อย"

ผมว่าแล้วก็เงื้อจอบฟันลงไปทันที ไอ้เหม่งก็กุลีกุจอมาช่วยขุดด้วย ไม่นานนักก็เป็นหลุมกว้างและลึกพอสมควร ขนาดผมลงไปนั่งแล้ว มองจากหลุมอื่นไกลๆ มองไม่เห็นหัวผมโผล่ขึ้นมาก็แล้วกัน ผมใช้เสียมอันเล็กค่อยๆเสียบแซะคุ้ยลงไป แล้ววักดินโกยขึ้นมา ไอ้เหม่งมันนั่งยองๆเพราะมันเหนื่อยแล้วมองดูผมอยู่ที่ปากหลุม คอยลุ้นอยู่ว่าจะได้เจอะไรบ้างที่หลุมนี้ ไม่นานนักผมก็รู้สึกได้ว่า เสียมอันเล็กของผมสัมผัสเข้ากับอะไรอย่างหนึ่ง  มันไม่ใช่ลักษณะที่ไปกระทบถูกกับเหล็กหรือไม้เลย

 20090811 1403669224

ผู้เขียนและผู้อาวุโสแห่งตลาดเจ็ดเสมียน ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่งในงานคนเจ็ดเสมียนพบกัน ปัจจุบันทุกคนในภาพไม่ได้อยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียนแล้ว

หรือว่าเราเจอเปลือกหอยกาบเข้าแล้ว ผมขนลุกซู่คล้ายกับว่าไปขุดขุมทรัพย์หลายร้อยล้านอย่างนั้น ผมทำท่าทางให้ไอ้เหม่งมันลงมาที่ในหลุมเหมือนกับผม แล้วเอานิ้วชี้ปิดที่ปากเป็นสัญญาณว่าให้เงียบๆเข้าไว้ อย่าพูดส่งเสียงอะไรออกมา

ไอ้เหม่งเห็นผมทำท่าอย่างนั้น ก็รีบกระโดดลงมานั่งข้างๆผม แล้วเอาเสียมอันเล็กอีกอันหนึ่งช่วยผมคุ้ยดินตรงนั้นออก ไม่นานนักดินตรงนั้นหนาประมาณคืบกว่าๆเห็นจะได้ออกหมดแล้ว

สิ่งที่ผมกับไอ้เหม่ง เห็นไต้ดินตรงนั้น มันเป็นเปลือกหอยกาบครับ เปลือกหอยกาบขนาดใหญ่ ที่เราต้องการหาเอาไปขายให้ป้าฮวยนั้น อัดแน่นเต็มไปหมด และคิดว่าคงอัดกันแน่นไปเป็นชั้นๆ อีกหลายชั้นแน่นอน เปลือกหอยกาบที่ถูกฝังมานี้คงจะเป็นเวลานานมากๆแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผุพังไปตามกาลเวลาด้วยเลย ยังเป็นเหมือนที่มันถูกจับมาใหม่ๆอย่างนั้น

ผมรีบบอกให้ไอ้เหม่ง ไปเอากระสอบข้าวสารที่เอามาจากบ้านมาใส่เปลือกหอยเหล่านี้ให้เร็วที่สุด ไอ้เหม่งรีบขึ้นจากหลุม ไปเอากระสอบป่านที่อยู่ที่ตะแกรงท้ายรถมาทันที มาถึงแล้วก็รีบจับเปลือกหอยกาบ ที่วางก่ายซ้อนกันในหลุมนั้นยัดเข้ากระสอบไป กะว่ายัดเข้าไปให้ได้มากที่สุด

 20090811 1604501551

ในงานคนเจ็ดเสมียนพบกัน คนทางซ้ายของภาพคือแม่ตังกวย เจ้าของโรงงานผักกาดหวานแม่ตังกวย คนกลางคุณแม่ปราณีต ลักษิตานนท์ (เพิ่งเสียชีวิต อายุ ๙๖ ปี) คนขวามือคือคุณอำนวย แววทอง (ติ๋ว) ทายาทรุ่นที่ ๒ เจ้าของ โรงงานผักกาดหวานแม่กิมฮวย (แม่กิมฮวยคือคนที่รับซื้อเปลือกหอยกาบในเรื่องนี้) แห่งตลาดเจ็ดเสมียน

ภายในหลุมนั้นมองดูแล้วมีเปลือกหอยกาบมากที่สุด ยิ่งงัดขึ้นมาก็ยิ่งมองเห็นมากขึ้น ผมช่วยไอ้เหม่งเอาเปลือกหอยกาบ ยัดเข้าไปในกระสอบป่าน จนเต็มทั้งสองกระสอบแล้ว เอาเชือกป่านศรนารายณ์ ที่เอามาจากบ้านผูกปากให้แน่นที่สุด เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มานั่งมองเปลือกหอยกาบ ที่ยังมีอีกมากมายในหลุมที่ผมกับไอ้เหม่งช่วยขุดกันนี้ นึกเสียดายก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะดันเอากระสอบป่านมาเพียงสองใบเท่านั้น ก็ใครจะไปคิดเล่าว่ามันจะมีมากขนาดนี้

ผมปรึกษาไอ้เหม่งว่าจะทำกันอย่างไรดี หรือว่าจะเอาเพียงเท่านี้ เพราะดูเหมือนว่าวาสนาเรามีเพียงเท่านี้ ผมกับไอ้เหม่งมองออกไปจากหลุม เห็นพวกไอ้ธรยังขุดกันอยู่อย่างขะมักเขม้น เวลานั้นมันก็คงจะได้เปลือกหอยกาบบ้างแล้ว แต่จะมากน้อยแค่ไหนนั้นผมมองไม่เห็น แล้วผมก็บอกกับไอ้เหม่งว่า ทำอย่างไรจึงจะขนเอากระสอบสองใบที่บรรจุ เปลือกหอยกาบอยู่เต็มแล้วนี้ ไปบ้านป้าฮวยได้

 20090811 2053905948

ผู้เขียนยืนอยู่หน้ารูปของตัวเองที่บอร์ดในงานคนเจ็ดเสมียนพบกัน

ลำพังรถจักรยานสองคันที่ผมถีบกันมาคนละคันนั้น เอากระสอบเปลือกหอยกาบนี้ซ้อนท้ายกันไปไม่ไหวแน่ ตะแกรงท้ายต้องหักแน่นอน  เกิดปัญหาขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นคงจะหวงหลุมไว้ไม่ได้แล้ว ผมมองขึ้นไปรอบๆบริเวณนั้น ตอนนี้มีคนทยอยกันเข้ามาขุดเปลือกหอยกาบกันมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว นอกจากคนในพื้นที่แล้ว ก็อาจจะมีคนที่อื่นๆด้วย เพราะข่าวอย่างนี้กระจายไปเร็วเหลือเกิน

ผมเห็นบางคนก็เอารถสาลี่สำหรับเข็นบรรทุกน้ำมาเลยทีเดียว นั่นผมคาดว่าต้องเป็นคนใกล้ ๆนี้แหละ ลองนับดูคร่าวๆ กว่า ๕๐ คนขึ้นไปแล้ว ผมว่าอีกไม่นาน ก็จะมีคนที่มาก้มๆเงยๆ ขุดดินกันนี้เป็นร้อยคนทีเดียว สำหรับผมกับไอ้เหม่งนั้น คงได้แค่ ๒ กระสอบเท่านั้น ถ้าเอาไปขายให้ป้าฮวยแล้วคงกลับมาไม่ทันเป็นแน่ ถ้าจะย้อนกลับมาอีก คงจะเข้าไม่ถึง เพราะมีคนเริ่มทยอยกันมามากเหลือเกิน

คิดได้ดังนั้น ผมกับไอ้เหม่งจึงปรึกษากันว่าควรไปเรียกพวกเรา และเด็กเจ็ดเสมียนทั้งหลาย มาเอาที่หลุมที่เราขุดนี้ดีกว่า เพราะว่า มองดูแล้วมันเป็นหลุมสมบัติเลยจริงๆ  เพราะว่าดึงขึ้นมาเท่าไรก็ไม่หมดสักที ยิ่งลึกลงไปก็ดูเหมือนว่าเปลือกหอยกาบจะมากยิ่งขึ้น

IMG 4209 

 นายแก้ว ผู้เขียน ๖ มกราคม ๒๕๖๐

  20090811 1340502935   

ที่ตลาดเจ็ดเสมียนซึ่งมีเพียงสองแถวหันหน้าเข้าหากัน บ้านกำนันคือห้องที่อยู่ริมสุดซ้ายมือของภาพ ที่ลานกว้างระหว่างตลาดนั้น มีต้นก้ามปูต้นใหญ่ ในปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว

ในสมัยก่อนๆนั้นเมื่อผมยังอยู่ที่เจ็ดเสมียน ผมสังเกตเห็นเด็กตลาดเจ็ดเสมียนแทบทุกคน นิยมให้แม่หรือคนเลี้ยงขยำข้าวให้กิน ถ้าไม่ใช่ไข่เป็ดไข่ไก่ต้ม ก็ปลาทูทอดกลิ่นหอมฉุย (ปลาทูนึ่งร้านป้ายุ้ยขายที่หน้าบ้านกำนันไต้ต้นก้ามปูมีร้านเดียว)  คิดแล้วน้ำลายพาลไหลยืดออกมาที่มุมปากเชียว..!

อาจจะมีน้ำแกงจืดผักตำลึงหมูสับผสมลงไปด้วยนิดหน่อย แล้วใส่น้ำปลาที่คนเจ็ดเสมียนส่วนใหญ่จะทำไว้กินเอง จากปลาสร้อยแท้ๆที่จับได้ในหน้าน้ำขึ้น คลุกเคล้าลงไปอีกนิดหน่อย เพื่อให้มีรสชาติดียิ่งขึ้น 

เด็กตลาดเจ็ดเสมียนในสมัยนั้นเหล่านี้ เมื่อแม่ของแต่ละคนส่งชามข้าวให้แล้ว ก็ไม่ได้กินที่บ้านหรือหน้าบ้านหรอกนะ รับชามข้าวแล้วก็เดินร่อน ไปกินกับเพื่อนหรือไปโม้ที่บ้านโน้นบ้างบ้านนี้บ้างภายในตลาด ถ้าเป็นมื้อเย็นละก้อบางที ก็เดินถือจานข้าวนี้เดินตามพรรคพวกไปเป็นพรวน โน่น ไปกินกันที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนโน่นเลย ผมก็ยังเคยถือจานข้าวที่ขยำกับไข่ต้มไปกินที่สนามหน้าโรงเรียนบ่อยๆตรงฐานเสาธงของโรงเรียนเป็นหลัก

มีเด็กรุ่นหลังผมคนหนึ่ง ผมไม่ขอเอ่ยชื่อเพราะว่าเวลานี้เขาก็ยังอยู่ ทำงานเป็นใหญ่เป็นโตร่ำรวยเงินทองเสียด้วย ก็ถือชามข้าวเดินร่อนไปกินที่สนามหญ้า หน้าโรงเรียนเหมือนกัน ในวันนั้นพวกผมแบ่งพวกเตะบอลกันอยู่ เห็นเด็กคนนี้วางจานขัาว แล้วก็นั่งกินข้าวอยู่ตรงเสาธงใหญ่ที่หน้าโรงเรียนซึ่งอยู่ตรงสนามหญ้า

 20090811 1105355073

บริเวณเสาธงหน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน มีฐานกว้าง จะมีคนมานั่งพักที่ฐานเสาธงนี้เสมอๆ

จนกระทั่งเกือบชั่วโมงผ่านไป พวกผมเลิกเตะฟุตบอลกันแล้ว เพราะเหนื่อยและก็ใกล้ค่ำ จึงพากันเดินมานั่งพักกันตรงเสาธง เห็นเด็กคนนั้นนั่งเฝ้าชามข้าวอยู่ที่เดิม ข้าวก็ยังเต็มชามอยู่อย่างนั้น

ด้วยความสงสัยผมจึงเข้าไปดูใกล้ๆ  ปั๊ดโธ่เอ๋ย..! ข้าวยังไม่พร่องไปเลย ตั้งแต่มันมาที่สนามหญ้านี้ คิดว่ามันเพิ่งเอาข้าวเข้าปากได้เพียงช้อนเดียวแท้ๆ แล้วมันก็อมข้าวช้อนนี้เอาไว้ในปากมันจนข้าวจืดหมดแล้ว จืดแล้วก็จืดอีกดูดอยู่นั่นแหละ น่าจะชืดไปหมดแล้วมันก็ยังอมข้าวคำนั้นต่อไปอยู่นั่นเอง เฮ้อ เวร....!

 20090811 1715594870

ที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียน ในตอนเย็นแดดร่มลมตกแล้ว จะมีคนในตลาดพาลูกหลานมานั่งเล่นที่สนามหญ้านี้

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วผมยังจำได้ว่า แม่ผมขยำข้าวกับปลาทูให้แล้ว ผมก็เดินถือชามข้าวไปที่บ้านป้าเอ็งซึ่งเป็นร้านขายยา ห้องแถวอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านผม และติดกับร้านกาแฟต้นตระกูลกาแฟโบราณ ของเฮียแก่เล็กแป๊ะอู๋ เด็กตลาดเจ็ดเสมียนก็อย่างนี้แหละครับ มีแต่ความสุขเสียจริงๆ

ผมไปหาแลกินข้าวกับไอ้อู๊ดและนายสิทธิ์  (รังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์) สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน เป็นลูกของป้าเอ็งและลุงเบี้ยว ในชามข้าวของทั้งสองนั้นป้าเอ็งขยำข้าวกับไข่ต้มให้กินทั้งคู่ พวกเราก็กินหมดในเวลาอันสมควร ไม่ได้อมข้าวเลยนะครับ

 

 20090811 1268906646

เด็กตลาดเจ็ดเสมียน แถวหน้า ระฆัง  (ซ้าย) สิทธิ์ (กลาง) อารีย์ (ขวา) 

แถวหลัง แก้ว (นั่งสูง ผู้เขียน) ธร (นั่งไกล) มูล ลูกป้าแจ่ม (นั่งกลาง) อู๊ด (ขวาสุด)

ผมเดินเข้าไปหาไอ้เหม่งแล้วคุยให้มันฟังดังที่ผมได้ยินมา แล้วชวนมันถีบจักรยานไปดูลู่ทางไว้ก่อน ว่าจะมีเปลือกหอยกาบตามที่ลุงชูคนท่ามะขามบอกหรือไม่ ไอ้เหม่งบอกว่า

"รอเดี๋ยวกินข้าวให้เสร็จก่อน แล้วจะไปบอกแม่ถ้าแม่ให้ไปก็จะไปกันเลย" ผมบอกว่า

"เที่ยวแรกนี้คงไม่ต้องเตรียมอะไรไปกันหรอก เราจะไปดูลาดเลากันเฉยๆก่อน"

ไอ้เหม่งพยักหน้ารับรู้ แล้วผมก็เดินเข้าบ้านเพื่อไปกินข้าวเหมือนกัน

  20090927 1047919559

คนอง คุ้มประวัติ (เหม่ง) เพื่อนรุ่นน้องของผู้เขียน

เที่ยงวันกว่าๆแล้ว ไอ้เหม่งมารอผมอยู่ที่หน้าบ้านผม พร้อมกับจูงจักรยานมาด้วย ผมนั่งอยู่ในบ้านมองเห็นไอ้เหม่งจูงจักรยานมา ผมคิดว่าแม่มันคงอนุญาตให้มันไปได้ ผมจึงเอาของที่เตรียมไว้ มีกระสอบป่านขนาดใหญ่ที่เขาใส่ข้าวสารที่โรงสี ๒ใบ เสียมสำหรับขุดคุ้ยดินเล็กๆสั้นๆ ๒ อันเอาติดไปด้วย เผื่อจะลองไปเขี่ยๆดูตรงที่ลุงชูแกบอกสถานที่ไว้แล้ว และคิดว่าต้องไปถูกที่แน่นอน

พร้อมแล้วผมกับไอ้เหม่งถีบจักรยานกันคนละคัน มุ่งหน้าออกไปจากตลาดเจ็ดเสมียน ข้ามทางรถไฟผ่านตลาดใหม่ (ตลาดนอก) เห็นที่บ้านป้าฮวยก็ยังมีการซื้อเปลือกหอยกาบกันอยู่เรื่อยๆมีคนมุงดูกันอยู่หลายคน

สังเกตได้จากที่หน้าห้องแถวของป้าฮวยมีคนมุงดู ตาชั่งขนาดใหญ่ที่กำลังชั่งเปลือกหอยกาบอยู่  ผมกับไอ้เหม่งไม่ได้แวะที่ห้องแถวป้าฮวยหรอกครับ ถีบจักรยานคุยกันไปเรื่อยๆ ไม่ถึง ๒๐ นาทีก็ถึงหัวหนอง (หนองบางงู) ซึ่งเป็นทางแยกจากถนนเพชรเกษม (ถนนรถยนต์ที่วิ่งลงไปทางไต้) ถีบรถไปตามถนนถนนใหญ่ (ถนนเพชรเกษม)ไม่นานก็ถึงทางแยกเข้าวัดท่ามะขามแล้วก็เลี้ยวรถ เข้าไปตามซอยวัดท่ามะขาม

ถนนทางเข้าวัดท่ามะขามในสมัยนั้น เป็นถนนเล็กๆสองข้างทางไม่ค่อยมีบ้านเรือนเท่าไรนัก มีแต่ต้นกอไผ่ป่าที่ผึ้งชอบมาเกาะทำรัง (ผมเคยมาตีผึ้ง ที่ซอยวัดท่ามะขามหลายครั้ง กับ เฮียเต้ว เพื่อนรุ่นพี่และเพื่อนๆ หลายหนแล้ว) ตรงที่มีบ้านมากเป็นชุมชนนั้นก็จะไปกระจุกอยู่ ที่แถวๆใกล้ๆวัดแหละมากที่สุด

ผมกับไอ้เหม่งคู่หูถีบจักรยานเข้าไปเกือบถึงวัดอยู่แล้ว มองไปทางด้านซ้ายมือตรงนั้นมีต้นกอไผ่ป่าขึ้นข้างทางมืดครึ้ม มองเห็นคนสัก ๔ – ๕ คนเห็นจะได้กำลังเอาจอบและเสียมขนาดใหญ่ ขุดลงไปในดินบริเวณนั้นแล้วคุ้ยขึ้นมา  

"คงเป็นตรงนี้แหละมั้ง"

ผมบอกกับไอ้เหม่ง

"แวะดูกันเลยดีกว่า"

ไอ้เหม่งมันบอกผม ผมพยักหน้าตกลง แล้วเราสองคนก็หยุดรถจูงจักรยานเข้าไปไต้ร่มเงาของกอไผ่ป่านั้น ผมตะโกนถามคนพวกนั้นว่า

"ขุดหาอะไรกันหรือครับน้า" 

คนผู้ชายที่ใส่งอบใบใหญ่นั้น เงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วว่า

"กำลังขุดหาเปลือกหอยกาบน่ะหนู ขุดมาหลายหลุมแล้วยังไม่เจอ ข่าวนี้คงโกหกเป็นแน่ "

แล้วแกก็ถามผมว่า

"ไอ้หนูมาจากไหนกันล่ะ " ผมก็ว่า

"มาจากเจ็ดเสมียนอยากจะมาหาขุดเปลือกหอยแถวๆนี้เหมือนกัน ได้ข่าวว่าแถวที่ตรงนี้แหละเมื่อสมัยก่อนนั้นมีคนมาทิ้งเปลือกหอยไว้แถวนี้ " 

ชายคนนั้นก็บอกว่า

" ก็ลองดูซี ถ้าโชคดีก็อาจจะเจอก่อนพวกฉันก็ได้ หรือบางทีก็อาจจะไม่เจอเลย เพราะคนบอกนั้นอาจจะโกหกกันเล่นๆ สนุกๆ เท่านั้น"  

แล้วแกก็หัวเราะร่วน ผมหันมาถามไอ้เหม่งว่า

"ไหนๆมาแล้วเราจะลองเดินดูสถานที่กันสักหน่อยก่อนเอาไหม"  

ไอ้เหม่งว่า

"เอาก็เอาไหนๆมากันถึงนี่แล้ว คงจะดีกว่าไม่ได้ดูอะไรเลย คงดีนะพี่"

ดังนั้นผมกับไอ้เหม่งก็คว้าเอาเสียมแทงดินเล็กๆ ๒ อันที่เตรียมมานั้น ถือคนละอันเดินลุยหญ้า ลุยดงเสือหมอบซึ่งขึ้นสูงถึงหัว พลางเอาเสียมฟาดกิ่งต้นเสือหมอบให้โล่งๆ แล้วขุดคุ้ยดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะว่าเราไม่จอบหรือเสียมอันใหญ่ๆมาเลย

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมกับไอ้เหม่งก็ยังไม่มีวี่แววจะรู้ว่า ขุมทรัพย์เปลือกหอยกาบอันมหาศาลอยู่ตรงไหนเลย เพราะว่าที่ตรงนี้กว้าง และมีกอไผ่ขึ้นหนาแน่นด้วย

ผมคิดในใจว่าเปลือกหอยกาบนี้ถ้ามันมีจริงๆตรงนี้  วันเวลามันผ่านพ้นมานานมากแล้ว มันก็น่าจะอยู่ลึกลงไปมากกว่านี้สักหน่อย พวกที่มาขุดก่อนเรานี้ผมสังเกตดูก็ขุดลงไปไม่ลึกสักเท่าไร  ผมว่าอย่างน้อยก็ต้องลึกเป็นเมตร หรือเมตรครึ่งถึงสองเมตร หรืออาจจะกว่านั้นอีก

ถ้าเปลือกหอยมีจริงต้องลึกขนาดนั้นแน่ๆ ผมจึงกระซิบบอกไอ้เหม่งเบาๆตามที่ผมคิดได้แล้วบอกไอ้เหม่งว่า

"วันนี้เราเอาแค่นี้ก่อนดีกว่ากลับไปบ้านก่อน พรุ่งนี้แต่เช้ามืดเลยเรามากันอีกครั้งหนึ่ง เตรียมจอบมาด้วยแล้วพยายามขุดให้ลึกๆถ้ามีเปลือกหอยก็ต้องเจอแน่นอน"

ไอ้เหม่งพยักหน้ารับรู้แล้วบอกว่า

"ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละพี่ พี่ท้อหรือเปล่า ผมไม่ท้อนะ"

ผมบอกคนกลุ่มนั้นที่มาขุดหาเปลือกหอยก่อนหน้าผมว่า

"ผมไม่เอาแล้ว กลับบ้านก่อนละ เพราะว่าท่าทางคนที่บอกนั้นจะโกหกเล่น"

คนกลุ่มนั้นก็ว่า

"ฉันก็ไม่เอาเหมือนกัน ขุดไปหลายหลุมก็ไม่เห็นมีเปลือกหอยเลย มีแต่เศษอะไรก็ไม่รู้ มีแต่กระดูกวัวควายเก่าๆ โผล่มาหลายท่อนด้วยกัน และเศษไม้ ซากไม้เกลื่อนไปหมด เนี่ยพวกเราก็จะไปหาที่อื่นต่อเหมือนกัน"

ผมกับไอ้เหม่งเก็บเสียมผูกไว้บนกระสอบป่าน ที่ตระแกรงท้ายรถจักรยานของผม แล้วเราสองคนขึ้นรถคนละคัน ถีบออกไปจากซอยวัดท่ามะขามนั้น ตรงกลับไปบ้านเลยทีเดียวไม่นานนักก็ถึงบ้าน ในระหว่างทางที่ถีบรถกลับนั้น ก็คุยกับไอ้เหม่งถึงการวางแผนการขุดในวันพรุ่งนี้ตลอดทาง

ตกเย็นวันนั้นผมไปเล่าให้ไอ้ธร (เพื่อนสนิทคนหนึ่ง) และเพื่อนคนอื่นๆฟังที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียน ถึงเหตุการณ์ที่ผมได้ไปดูมาที่ซอยวัดท่ามะขาม และบอกไอ้ธรว่า

"ถ้าคนที่มาบอกให้เราฟังเมื่อเช้าวันนี้นั้น ไม่ได้โกหกเรามันจะต้องมีเปลือกหอยกาบอย่างแน่นอน แต่ต้องขุดลึกลงไปสักหน่อย เพราะว่าแต่ก่อนนั้นมันเป็นที่ลุ่ม น้ำท่วมมาก่อน  มันก็ต้องลึกบ้างเป็นธรรมดา"

ไอ้ธรและคนอื่นๆที่นั่งคุยอยู่ด้วยกันนั้นฟังผมบอกอย่างสนใจ ไอ้ธรพยักหน้าเห็นด้วย 

แล้วผมก็เลยชวนพวกเราทุกคนว่า

"ถ้าใครสนใจในตอนเช้าวันพรุ่งนี้เตรียมตัวไปกันเลย เตรียมเครื่องมือในการขุดไปด้วย ถ้าใครไปพร้อมกันไม่ทันก็ถีบรถจักรยานตามไปทีหลังก็ได้" ผมบอกสถานที่ให้เสร็จ เพื่อนเด็กตลาดที่ได้คุยกันก็ตกลงตามนั้น.

 

100 kaew2

นายแก้ว ผู้เขียน ๘ ธันวาคม ๒๕๕๙

 

400 b 

ตลาดเจ็ดเสมียนแถวเก่า ห้องของป้าฮวยแต่เดิมอยู่ตรงซุ้มขายของ ถัดจากร่มแดงไป

 ดังนั้นที่บ้านป้าฮวย ที่ตลาดนอกในห้องแถว ที่ทำไว้เพื่อรองรับเปลือกหอยกาบนี้ ก็เริ่มมีคนทยอยมาขายเปลือกหอยกาบมาให้ป้าฮวยเรื่อยๆแล้ว มีคนเอามาขายทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง

ในตอนนั้นผมสังเกตว่า วันหนึ่งๆในตอนที่ป้าฮวยแกรับซื้อแรกๆนั้นคงไม่น้อยกว่า ๑๐๐ –  ๒๐๐ กก. เป็นแน่ เพราะผมเห็นว่าปริมาณเปลือกหอยในห้องแถวของป้าฮวย ที่ตลาดนอกนั้นเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆเลยทีเดียว

ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าแล้วพวกผมไม่ไปเที่ยวหา ขุดเปลือกหอยกาบมาขายให้ ป้าฮวย แกบ้างเลยหรือ ทั้งๆที่โรงเรียนก็ปิดอยู่ พวกผมก็พยายามสืบเสาะหาแหล่งอยู่ครับ พวกผมโดยเฉพาะ ไอ้เหม่ง (คะนอง คุ้มประวัติ) คู่หูของผมที่บ้านห้องแถวในตลาดเจ็ดเสมียนติดกัน ก็ถีบจักรยานเที่ยวไปหาเปลือกหอยกาบมาขายให้ป้าฮวยเหมือนกัน 

แต่เปลือกหอยกาบมันมีน้อย แหล่งที่มีมากๆอาจจะมี แต่ผมไม่รู้จักแหล่งนี่ครับ ผมก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะไปขุดมันขึ้นมาจากที่ไหน เพื่อมาขายเอาเงินป้าฮวยไปกินขนมได้

ในตอนเกือบค่ำผมชอบคด (ตกข้าวใส่จาน) ข้าวมาคุยกับไอ้เหม่งที่ร้านหน้าบ้าน ผมคุยกับไอ้เหม่ง และเพื่อนๆอีกหลายคนว่า อยากจะลองไปงมแถวๆ วังอีหนีบ เหมือนกับที่คนอื่นๆมางมกันบ้าง

แต่คิดไปแล้ว เรายังเด็กๆกันอยู่ คงไม่มีกำลังที่จะดำลงไปลึกๆ อย่างนั้นได้ก็เลยลงมติกันว่า งดกันไว้ก่อนดีกว่ามันไม่คุ้ม กับการที่จะเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา และไม่อยากให้หมอละออง (ไม่ได้เป็นนายแพทย์แต่เขาเรียกกันอย่างนั้น อดีตทหารเสนารักษ์) มาฉีดยาให้ เพราะพวกผมเป็นโรคกลัวเข็มฉีดยาเป็นอย่างมาก

ต่แล้ววันหนึ่งหลังจากที่ป้าฮวยแกประกาศรับซื้อเปลือกหอยได้ไม่กี่วัน ในตอนสายๆมีคนถีบจักรยานมาจากวัดท่ามะขาม (ออกจากตลาดไปทางหนองบางงู แล้วก็เลยหนองบางงูไปไม่ไกลมากนัก)คนหนึ่ง

 20100209 2086873044

อาคารโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนสมัยแรกๆ ปัจจุบันรื้อไปหมดแล้ว

แกมาซื้อของที่เจ็ดเสมียน และคงจะมาหาญาติของเขาที่ตลาดนี้ ซึ่งผมก็เคยเห็นเขาบ้างเหมือนกัน  แกไปนั่งกินโอเลี้ยงที่ร้านเฮียแก่เล็ก ตอนนั้นผมกับไอ้ธร และ ไอ้วีกำลังนั่งเล่น หลิ่วคิ้วกันอยู่ตรงหน้าร้านเฮียแก่เล็กพอดี เกือบจะแพ้ชนะกันอยู่แล้ว

หลิ่วคิ้วนี้ก็เป็นการพนันชนิดหนึ่ง ที่เด็กๆที่ตลาดเจ็ดเสมียนชอบเล่นกัน มันก็เหมือนกับการเล่นไพ่และการพนันชนิดอื่นๆ พวกผมชอบเล่นกันมากมันสนุกดี และมันเล่นง่ายเอาชนะกันเฉยๆ สำหรับพวกผมไม่มีการกินสตางค์กันเพราะว่าไม่มีสตางค์ติดกระเป๋ากันหรอกครับ

บางท่านอาจจะไม่ทราบก็ได้ว่าอะไรคือหลิ่วคิ้ว แล้วเล่นกันอย่างไร ผมจะบอกให้สักเล็กน้อยก่อนนะครับ อาจจะงงๆ กันบ้าง เพราะว่าจากนั้นมาผมก็ไม่ได้เห็นมานานหลายสิบปีแล้ว

หลิ่วคิ้วนี้เป็นการเล่นการพนันของคนจีนครับ สมัยที่ผมเป็นเด็กที่เจ็ดเสมียนนั้นนิยมเล่นกันมาก ลักษณะของมันทำมาจากไม้กลึงให้กลมๆ เป็นเหมือนเหรียญ ๒ บาทสมัยนี้ แต่หนากว่ามาก มีตัวอักษรภาษาจีนแกะสลักลงไปในแป้นไม้นั้น

จากตัวที่เป็นใหญ่ที่สุดคือกินตัวอื่นๆได้ทุกตัว ซึ่งผมจะลองเรียงลำดับดู อาจผิดพลาดไปบ้างก็ขออภัยด้วย เพราะว่าเล่นกันมานานแล้ว คือ อั้งตี่  โอวตี่  อั้งสือ โอวสือ  อั้งกือ   โอวกือ  อั้งเฉีย โอวเฉีย อั้งเผ่า โอวเผ่า อั้งเบ้ โอวเบ้ อั้งจุ๊ด โอวจุ๊ด อั่งเลี๊ยบ โอวเลี๊ยบ (อั้ง = เป็นตัวหนังสือจีนสีแดง โอว = เป็นตัวหนังสือจีนสีดำ)

ตัวสุดท้ายนี้มีศักดิ์ศรีที่เล็กที่สุดกินใครไม่ได้เลย ที่เรียงมานี้ก็จากใหญ่ไปหาเล็กนะครับ วิธีการเล่นนี้ก็คือแจกเม็ดหลิ่วคิ้วนี้ให้เท่าๆกันทุกคน โดยคว่ำหน้าอย่าให้เห็นแล้วแต่ละคนที่เล่น ค่อยๆเอาออกมาแล้วหงายขึ้น ใครมีตัวใหญ่สุดก็กินไปจนกว่าจะหมด ใครได้กินมากสุดท้ายก็จะชนะไป อธิบายไม่ละเอียดคงงงๆกันบ้างนะครับ แต่อย่าไปสนใจอะไรมากเลยมาดูเรื่องของเราต่อดีกว่าครับ

มาเข้าเรื่องกันต่อครับ ลุงคนที่มาจากท่ามะขามนั้น ผมไม่รู้จักชื่อได้ยินเฮียแก่เล็กเรียกแกว่าลุงชู แกเห็นผมและเพื่อนๆเล่น หลิ่วคิ้วกันเพลินๆ จึงเดินมาแล้วเอ่ยปากบอกว่า

 "ทำไมไม่ไปหาเปลือกหอยกาบ มาขายให้กับยายฮวยกับเขาบ้างล่ะ"   

ผมก็บอกว่า "เคยเที่ยวไปหาขุดตามที่เขาทิ้งขยะเหมือนกันแต่ไม่ค่อยมีไปขุดอีกหลายๆที่ก็ไม่มีเลย และไม่ค่อยรู้แหล่งด้วยจึงขี้เกียจไปหาแล้วหมดปัญญา

ลุงชูคนที่มาจากท่ามะขามจึงบอกว่า

"เมื่อตอนเช้าก่อนที่จะมาที่นี่นั้น เห็นคนที่ท่ามะขามเขาเริ่มมาขุดหาเปลือกหอยกาบกันแล้วแต่ยังไม่มากนัก ที่ซอยทางเข้าวัดท่ามะขามก่อนถึงวัดสักหน่อยหนึ่งทางด้านซ้ายมือ ตรงที่เป็นเหมือนร่องน้ำมีต้นไม้และกอไผ่ปกคลุม ครึ้มไปหมดนั้นแหละ"

ผมกับเพื่อนๆนั่งฟังแกบอกเงียบๆทำตาปริบๆ และคิดว่านี่คือข่าวดีที่ลุงชูแกมาบอก ลุงชูแกพูดอีกว่า 

"เขาลือกันว่าเมื่อสมัยก่อนเป็นหลายล้านปี ที่ล่วงมาแล้ว ในบริเวณนั้น หรือจะเป็นท่ามะขามทั้งหมดก็ได้ เคยเป็นที่ๆน้ำท่วมมาก่อน  แล้วกาลเวลาล่วงเลยมานาน น้ำที่ท่วมนั้นก็แห้ง ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

ภายไต้พื้นดินบริเวณนี้จะเป็นที่สะสมของเปลือกหอยนานาชนิด รวมทั้งหอยกาบด้วย"

ลุงชูหยุดพูดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ 

"จนเดี๋ยวนี้ลุงคิดว่า ตรงบ่อนั้นคงมีเปลือกหอยกาบและหอยอื่นๆมากมายสะสมอยู่อย่างแน่นอน อยู่ว่างๆไม่ลองไปขุดหาดูหรือ"

ผมฟังแล้วก็เลยถามลุงชูไปว่า

"แล้วลุงไม่ลองไปขุดดูบ้างหรือ" 

ลุงชูแกตอบว่า

"พอดีเช้านี้ต้องมาธุระที่ตลาดนี้ก่อน บ่ายๆนี้แหละจะลองไปขุดดู"

แกว่าอย่างนี้ก็ได้เรื่องแล้วซีพวกผมมันอยู่นิ่งได้เสียเมื่อไร แม่ไอ้เหม่งยังเคยว่าพวกผมว่า  

“พวกมึงทำไมไม่หยุดนิ่งๆกันบ้าง เวียนหัวจะตายอยู่แล้ว”  

เมื่อพวกผมได้ข่าวเช่นนี้ หัวสมองก็นึกแว๊บขึ้นมาทันที นึกไปที่ซอยวัดท่ามะขาม นึกไปตรงสถานที่ๆลุงชูแกมาบอก ผมรีบถามไอ้ธรว่า  

"จะไปดูกันไหม ถีบจักรยานไปกันคนละคัน สามคนเราไอ้วีด้วย" 

แต่ทั้งคู่นี้มันไม่อยากไปเพราะว่ามันไม่แน่ใจว่า จะจริงตามที่ลุงชูคนท่ามะขามมาบอกหรือเปล่า ตำบลท่ามะขามมันก็ไม่ใช่ใกล้ๆ  ออกไปทางหนองบางงู แล้วยังต้องเข้าซอยไปอีก เป็นระยะทางเกือบ ๔ กิโลเมตร

ที่จริงแล้วท่ามะขามนี้พวกผมก็เคยไปเที่ยวยิงนก และไปตีผึ้งกับเฮียเต้ว (เพื่อนรุ่นพี่) พร้อมด้วยเพื่อนๆอีกหลายคนบ่อยๆ

นอกจากนั้นผมและพรรคพวกเช่นไอ้เหม่ง ไอ้จุ้ยน้องของไอ้เหม่ง ไอ้โห้ ไอ้แอดก็เคยตาม ลุงหงวน เตี่ยไอ้โห้ ไปทอดแหแถวๆท่ามะขามหลายครั้งแล้ว (ลุงหงวนเตี่ยไอ้โห้เดิมแกเป็นคนท่ามะขาม) 

เมื่อได้ปลามากแล้วส่วนใหญ่เป็นปลาช่อนซึ่งมีชุกชุม ขากลับบ้านในตอนเย็นๆ ลุงหงวนแกก็จะแบ่งปลาที่จับได้ให้กลับไปบ้าน คนละตัวสองตัวด้วย เป็นรางวัลที่ได้ช่วยกันงมปลา จากการทอดแหแบบจมลงไปแล้วกระโดดลงไปงม ของลุงหงวนเตี่ยไอ้โห้

แต่เที่ยวนี้ไอ้ธร (สาธร วงษ์วานิช) กับไอ้วี (ทวี แซ่ชื้อ) มันไม่อยากไปเฉยๆอย่างนั้นแหละ มันคงอยากเล่นหลิ่วคิ้วของมันต่อแน่ๆเลย เมื่อเพื่อนทั้งสองไม่ไป ผมก็เลยเล่นหลิ่วคิ้วกับพวกมันอีกสองสามตา ก็เลิกเล่น

ผมบอกมันว่า

"จะลองถีบจักรยาน ไปซอยวัดท่ามะขามไปดูตรงสถานที่ๆลุงคนนั้นเขาบอก มันจะจริงอย่างที่เขาว่าหรือไม่"

ไอ้ธรบอกว่า "เออก็ดีเหมือนกัน แล้วเป็นอย่างไรกลับมาบอกกูด้วยล่ะ"

และเมื่อไอ้สองคนนี้มันไม่ไปแล้ว ผมก็คิดหาเพื่อนที่จะไปด้วยอีกสักคนหนึ่ง จะได้ไปเป็นเพื่อนกัน  ผมจึงคิดถึงไอ้เหม่ง เพราะว่าที่ผ่านๆมาไอ้เหม่งมันก็ไปไหนต่อไหนผจญภัยกับผมเยอะแยะ แล้วมันก็เป็นคู่หูกับผมมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ครอบครัวมันย้ายมาจากบ้านเดิมที่ตำบลบางโตนดโน่น (บางโตนด เป็นตำบลหนึ่งใน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี)

 20090928 1926557368

ป้าม่อมแม่ของคุณคนองและเด็กสาวตลาดเจ็ดเสมียนกำลังใส่บาตรในตอนเช้าที่ตลาดเจ็ดเสมียน

 หมู่นี้มันไม่ค่อยได้ออกไปไหนกับผมบ่อยๆ เพราะว่าแม่มันดุเอาเรื่อยๆ แม่ก็เป็นห่วงลูกอย่างนี้แหละ เป็นของธรรมดาแม่ผมก็เหมือนกันดุด่าว่ากล่าวอยู่บ่อยๆ  แต่ผมคิดว่าเรื่องชวนกันไปหารายได้ ด้วยตัวเองอย่างนี้คงไม่เป็นไร

เพราะว่าถ้าโชคดีก็อาจจะขุดเปลือกหอยกาบได้ แล้วเอาไปขายให้กับป้าฮวย จะได้เงินมากินขนมกันบ้าง แม่ไอ้เหม่งคงจะเห็นดีด้วยแน่ๆ นี่ผมคิดเข้าข้างตัวเองแท้ๆทีเดียว

คิดได้ดังนั้นแล้วผมก็เดินข้ามฟากจาก ร้านกาแฟเฮียแก่เล็ก ตรงไปที่บ้านไอ้เหม่งซึ่งเป็นร้านถ่ายรูปทันที เพื่อไปชวนไอ้เหม่งที่บ้านมัน ซึ่งบ้านของมันก็คือห้องแถวที่ติดกันกับห้องของผมนั่นแหละครับ

 20090811 1289499582

จุ้ย คุณคะนึง คุ้มประวัติ น้องชาย เหม่ง คนอง คุ้มประวัติ

ตอนนั้นใกล้เที่ยงเต็มทีแล้ว ผมเห็นไอ้เหม่งกับไอ้จุ้ย (คะนึง คุ้มประวัติ ภายหลังรับราชการทหาร คือ พ.อ.คนึง คุ้มประวัติ) น้องของมันกำลังกินข้าวกันอยู่คนละจาน ป้าม่อมแม่ของมันทอดปลาทูให้มันเสียเกรียมน่ากิน สองคนมันตักข้าวเข้าปากกันอย่างเอร็ดอร่อย

จานในที่นี้ไม่ใช่จานกระเบื้องที่หล่นแล้วแตกได้หรอกนะครับ แต่เป็นจานสังกะสีเคลือบที่หล่นแล้วไม่แตก เพียงแต่สีที่เคลือบกะเทาะบิ่นไปเท่านั้น ช้อนก็เหมือนกันยังไม่มีช้อนสแตนเลสเหมือนในสมัยนี้หรอก มีแต่ช้อนเคลือบเป็นสีๆ มีช้อนอย่างดีก็เป็นช้อนอลูมิเนียมบางๆเท่านั้นเอง

 

 

100 kaew2

นายแก้ว ผู้เขียน ๑ ธ.ค. ๒๕๕๙ 

chetsamian 093

 เด็กตลาดเจ็ดเสมียน รุ่นผม (ผู้เขียน) และรุ่นน้องๆ ถ่ายรูปร่วมกันที่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ใกล้ตลาดเจ็ดเสมียน

    ตลิ่่งตรงนั้นมันหักข้อศอก น้ำที่หลากเชี่ยวมาจากทางเหนือนั้น มันพุ่งเข้าชนตลิ่งตรงหักข้อศอกนี้โครมพอดี แล้วเบนหัวออกจากตลิ่งตรงนี้พุ่งออกไป จึงเกิดเป็นน้ำวนมองเห็นน้ำหมุนเป็นเกลียวเป็นหลุมลึกลงไป ดูดสิ่งต่างๆที่ผ่านมา ในรัศมีของเกลียวน้ำวนนี้ ลงไปที่ก้นแม่น้ำหมด

    มีคนเก่าๆที่หน้าวัดใหม่นี้เล่าให้ฟังว่า หน้าน้ำหลากที่เชี่ยวมากๆขนาด กอไผ่ ที่ถูกน้ำเซาะมาจากทางเหนือ ลอยมาทั้งกอพอมาถึงวังอีหนีบ  มันดูดลงไปในเบื้องล่างหายจ้อย ถ้าจะโผล่อีกทีก็โน่นท่าขวาง วัดบางกระนั่นเลย ถ้าเป็นคนก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่า ตรงนี้ให้ชื่อว่า “วังอีหนีบ” ตั้งแต่นั้นมา

    เพราะว่ามีอะไรลอยผ่านเข้ามาเป็นหนีบดูดลงไปหมด แหม..! ใครนะเป็นผู้ออกหัวคิดตั้งชื่อนี้เป็นคนแรก อยากทราบจังเลย ช่างตั้งได้เหมาะสมดีแท้ๆ เป็นคำสั้นๆแต่สื่อสารได้ดีมากทีเดียว

   แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่ชื่อของวังอีหนีบนั้น อยู่ได้ไม่นาน ก็มีนักพัฒนาออกหัวคิดว่าชื่อนี้มันฟังแล้วหวาดเสียว แต่ผมขอคัดค้านสักหน่อย ฟังแล้วผมว่าดีเป็นชื่อที่ชาวบ้านร้านตลาด ฟังปุ๊บ เข้าใจความหมายปั๊บเลย ไม่เห็นว่ามันจะไม่เพราะหรือฟังแล้วน่าเกลียดตรงไหน

PC040314  

แม่น้ำแม่กลองไหลผ่านตำบลเจ็ดเสมียน  มองจากริมฝั่งตลาดเจ็ดเสมียนในปัจจุบัน  (นายแก้ว ถ่ายภาพ)

   แล้วท่านก็ตั้งชื่อเสียใหม่ให้ความหมายใกล้ๆกัน ชื่อใหม่จึงออกมาเป็น “วังลึก “  อื้อ..! ก็พอใช้นะแถวนั้นก็เลยกลายเป็นชุมชน วังลึก ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คิดไปอีกทีถ้าไม่ได้เปลี่ยนชื่อแล้ว ก็จะเป็นชุมชนวังอีหนีบ ก็ดีเหมือนกันนะครับ

   แต่ต้องเข้าใจด้วยนะครับ ว่า หมู่ที่ ๑ ของตำบลเจ็ดเสมียนนั้น ไม่ใช่ชุมชนบ้านวังลึก หรือชื่อเดิมว่า วังอีหนีบ ต้องเป็นชื่อว่า หมู่ที่ ๑ บ้านพงสวาย เท่านั้นจึงจะถูกต้องด้วยประการทั้งปวง  เพราะว่าชุมชนบ้าน วังลึก หรือวังอีหนีบนั้น เป็นชุมชนย่อยของบ้านพงสวายเท่านั้น ถูกต้องนะ คร๊าบ......!

  คุยเรื่องคนไปงมหอยกาบกันที่ วังอีหนีบ ไหงออกนอกเรื่องไปเสียตั้งนาน จึงกล่าวได้ว่าคนพวกนั้นเสี่ยงกับความตายเสียจริงๆ ดีนะที่หน้านี้น้ำลงไปบ้างแล้ว “วังอีหนีบ” มันจึงคลายแรงหนีบลงไปมาก ผมจึงขอกลับไปหา ป้าฮวย แม่ไอ้โห้ (คุณสุรพงษ์ แววทอง) เพื่อนของผมอีกที

     แต่เดี๋ยวก่อนขออีกหน่อย ได้ข่าวว่าคนที่ลงทุนไปงมหอยกาบ ที่วังอีหนีบนั้นไม่เสียแรงที่ลงทุน วันหนึ่งเขางมได้ตั้งหลายกระสอบ แต่เสียอย่างเดียว ต้องเอาหอยสดเหล่านี้ไปต้มแล้วแกะเนื้อออก แจกชาวบ้าน เพราะกินกันเองไม่หมด แล้วเอาเฉพาะเปลือกไปขายให้ป้าฮวย เหตุที่ทำอย่างนี้ก็เพราะว่าป้าฮวย แกไม่ได้รับซื้อหอยกาบสดซื้อเฉพาะเปลือกหอยเท่านั้น

chetsamian 119

เด็กตลาดเจ็ดเสมียนส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนวิ่งเล่นและทำกิจกรรมอื่นๆ (ผู้เขียนนั่งสูงกว่าคนอื่น)

    ทีนี้ผมจะขอกล่าวถึงบ้านป้าฮวยเสียหน่อย เพื่อท่านผู้อ่านจะได้เข้าใจและนึกออกมากยิ่งขึ้น ป้าฮวยนั้นเมื่อสมัยก่อนหน้านี้ บ้านของป้าฮวยก็อยู่ที่ห้องแถวในตลาดเจ็ดเสมียนเหมือนกับผมเหมือนกัน แต่บ้านป้าฮวยอยู่ห้องแถวของตลาดแถวเก่า ซึ่งหันหน้าเข้าหากันกับตลาดแถวใหม่ที่ผมอยู่

    ป้าฮวยกับลุงหงวน ประกอบอาชีพทำผักกาดเค็มขาย ต่อมากิจการค้าเจริญขึ้น บ้านห้องแถวที่ในตลาดก็คับแคบ ป้าฮวยจึงไปปลูกบ้าน (ตึก) อยู่ตรงกันข้ามกับตลาด ที่เรียกว่าตลาดใหม่ หรือตลาดนอก แล้วก็ซื้อห้องแถวที่ตลาดนอกนี้ไว้ห้องหนึ่งเพื่อเอาไว้เก็บสินค้าต่างๆของป้าฮวยเอง

    ดังนั้นเพื่อการนี้ ป้าฮวยแกได้เช่าห้องข้างๆอีกห้องหนึ่งติดกับห้องของแก เพื่อรองรับลูกค้าที่จะนำเอาเปลือกหอยกาบมาขายให้ เพราะว่าเมื่อแกได้ป่าวประกาศไปแล้วว่ารับซื้อเปลือกหอยกาบ ให้ราคาดี อย่างไรเสียจะต้องมีคนหาเปลือกหอยกาบมาขายให้แกอย่างแน่นอน แกจึงเตรียมห้องไว้อีกห้องหนึ่งเพื่อเก็บ เปลือกหอยกาบโดยเฉพาะ

166 chetsamian

เด็กตลาดเจ็ดเสมียนอีกส่วนหนึ่งเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ถ่ายที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียน วัดเจ็ดเสมียน (หน้าเรือนหุ่นฯ ปัจจุบันนี้รื้อไปหมดแล้วสร้างใหม่)

    เมื่อมีคนนำเอาเปลือกหอยกาบมาถึงแล้ว ป้าฮวย แกก็จะตีราคาให้ทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเปลือกหอยกาบเก่าหรือเปลือกหอยกาบใหม่ ป้าฮวย แกก็จะตีราคาให้  อย่างเช่นถ้าเปลือกหอยกาบใหญ่หน่อย มีรูปร่างสวยคือไม่มีการชำรุด บิ่น หรือแตกแล้วละก้อ จะตีราคาให้สูงหน่อยคือ กก.ละ ๑ บาท แต่ไม่เกิน ๑.๕๐ บาท 

   สำหรับเปลือกหอยกาบที่ไม่สวย คือชำรุดแล้วมีรอยบิ่นและแตกหักไป ก็จะคิดราคาต่ำลงไป ตามแต่จะเห็นสมควร คือกิโลละ ๕๐ สตางค์ ถึง ๗๕ สตางค์ เท่านั้น ผู้ที่นำมาขายเมื่อได้เท่านี้ก็ดีใจเป็นอันมากแล้ว ทุกคนเต็มใจขายให้ป้าฮวยไม่มีข้อต่อรองอะไรเลย แล้วก็ยิ้มหวานๆรับเงินสดๆจากมือป้าฮวย กลับบ้านด้วยความสบายใจ

   หอยกาบที่เขาเอามาขายนี้ บางเจ้าก็ขุดได้มาจากบริเวณบ้านของตัวเอง บางเจ้าก็รอนแรมไปขุดที่อื่นมา ถ้าเขาเหล่านั้นสืบทราบได้ว่าที่ตรงไหนที่จะมีคนทิ้งไว้บ้าง ก็ไปขุดมา เหมือนได้มาเปล่าๆ แต่ต้องออกแรงหน่อยเท่านั้นเอง

   ผมได้ทราบมาบ้างว่า วิธีที่จะหาเปลือกหอยกาบมาขายนั้น วิธีที่ง่ายก็คือ ขั้นแรกต้องขยันเดินถามบ้านเพื่อนฝูง หรือญาติพี่น้องกันก่อน แล้วก็ขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ วิธีนี้สะดวกและง่ายดี แต่ผลลัพธ์ออกมานั้นจะได้ผลหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะว่าในขณะนั้น ลูกหลานบ้านไหนที่อยู่ว่างๆก็อยากออกหาขุดเปลือกหอยกาบไปขายทั้งนั้นแหละ คงไม่มีใครบอกใครหรอกครับ

PC040302

รถไฟวิ่งเข้าสถานีเจ็ดเสมียนในปัจจุบันนี้ (นายแก้วถ่ายภาพ )

100 kaew2

นายแก้ว ผู้เขียน ๒๗ พย. ๕๙