เรารักสุพรรณ สถานที่ท่องเที่ยวสุพรรณบุรี

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

นี่คือโรงแรมเรือชื่อว่า Vintage Luxury Yacht Hotel ที่จะพักกันในคืนนี้ เขาดัดแปลงเป็นโรงแรมที่พักมี 5 ชั้น เดิมทีนั้นเป็นเรือจริงๆนะครับ

คณะทัวร์พม่าของเราขึ้นรถกันหมดเรียบร้อยแล้ว  ตอนนี้เป็นเวลา ทุ่มกว่าๆแล้วถ้าเป็นเวลาในกรุงเทพฯหรือเวลาที่ประเทศไทย ก็จะประมาณทุ่มครึ่ง เพราะว่าเวลาของประเทศพม่าช้ากว่าไทยประมาณครึ่งชั่วโมง

นายซายซายไกด์ของเราบอกว่า ในตอนนี้เรากำลังเดินทางไปกินอาหารค่ำกันที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เสร็จแล้วเราก็จะเข้าพักกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารมากนัก

เมื่อได้ยินว่าเขาจะพาเราไปกินข้าวก็มีอาการกระชุ่มกระชวยกันขึ้นมา เพราะว่าตั้งแต่ที่กินข้าวมื้อแรกที่พม่ากันตั้งแต่เที่ยงวันมาแล้ว ก็ยังไม่ได้กินข้าวกันเลย จะมีบ้างที่บางคนซื้อของกินติดมือมาก็กินประทังความหิวกันเอาไว้

รถก็พาพวกเราวิ่งผ่านตลาดผ่านถนนต่างๆ วกเวียนกันไปสักพักหนึ่ง ระหว่างที่อยู่ในรถ ไกด์ก็ได้เล่าเรื่องต่างๆของเมืองย่างกุ้งในแถบนี้ ว่า มีอะไรบ้าง แล้วสุดท้ายก็เล่าถึงเรื่องโรงแรมที่เราจะไปพักกันในคืนวันนี้ ฟังคร่าวๆก็พอจะรู้ว่า ที่เราจะไปพักกันนี้ไม่ใช่โรงแรมธรรมดาที่เป็นโรงแรม 5 ดาว (ของพม่า) เหมือน ทั่วๆไปในเมืองย่างกุ้ง

แต่โรงแรมแห่งนี้เป็นเรือลำใหญ่ที่เขาปลดระวางแล้ว จอดลอยลำอยู่ริมฝั่งแม่น้ำย่างกุ้ง ไกด์บอกว่า มีนักธุรกิจ กลุ่มหนึ่ง (จำไม่ได้ว่าเป็นชาวอะไรกันบ้าง) มีความคิดเลอเลิศ มองเห็นว่าถ้าซื้อเรือลำนี้แล้วมาตบแต่งให้เป็นโรงแรมชั้นหนึ่งก็จะดีมาก เพราะว่าเป็นเรื่องที่แปลกดีในเมืองย่างกุ้ง

ดังนั้นเขาจึงซื้อเรือลำนี้แล้วก็ตบแต่ง เป็นห้องพัก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เหมือนโรงแรมใหญ่ๆบนบก และก็ประกอบธุรกิจเรื่อยมาซึ่งเจริญก้าวหน้ามาด้วยดี มีคนมาพักกันเยอะ คณะทัวร์ไทยก็มาพักกันที่นี่กันแล้วมากมาย

นายซายๆก็เล่าเรื่องเรือเรื่อยไปอีกมากมาย มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเยอะ ซึ่งผมก็ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง เรื่องเรือที่นายซายซายเล่ามานี้ ผมและคณะยังไม่เคยเห็นเลย จึงยังไม่รู้ว่าจะดีหรือสวยงาม พักอย่างสบายหรือไม่อย่างไร

หลังจากรถวิ่งวนเวียนมาหลายถนนแล้วก็มาหยุดที่หน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง ที่ด้านหน้ามีรถธรรมดาและรถทัวร์จอดบังหน้าร้านอยู่แล้วหลายคัน

พวกเราลงจากรถแล้วก็รีบพากันเดินเข้าไปภายใน มองดูแล้วก็เหมือนภัตตาคารแรกที่เราไปกินกันมาเมื่อตอนกลางวัน

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel
โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

รับประทานอาหารกันก่อนไปพักที่โรงแรมเรือ

นายซายซายและคุณปอร์ชี้ให้เดินไปข้างใน ซึ่งเขาจัดโต๊ะยาวๆเตรียมเอาไว้ให้แล้ว  นั่งกันเรียบร้อยสักครู่หนึ่ง อาหารก็ทยอยกันออกมา รวดเร็วทันใจ รายการอาหารต่างๆเขาคงสั่งเอาไว้แล้ว เพียงแต่พวกเรามาถึงก็เอาออกมาเสริฟได้ทันที

ถึงแม้ว่าพวกเราจะนั่งที่โต๊ะยาวก็ไม่มีปัญหาเรื่องอาหารแต่อย่างใด เขาจัดอาหารหลายชุด มากมายเหลือเฟือ อาหารมื้อนี้ก็อร่อยดี มีต้มยำ แกงจืด ปลาราดพริก ไข่เจียว และอื่นๆอีก

ที่ร้านนี้พวกเรากินกันไม่นานครับ ต่างคนต่างหิวจึงดูเหมือนว่าจะรีบกินกัน อาหารมื้อนี้เป็นอาหารมื้อที่ 2 ที่เรามาประเทศพม่าครับ

ออกจากร้านอาหารแล้ว คราวนี้จะได้เข้าที่พักกันเสียที อีกไม่นานคงได้เห็นเรือลำใหญ่ที่เป็นโรงแรมแล้วละครับ

สักพักใหญ่ๆ รถก็มาส่งพวกเราที่หน้าทางเดินเข้าโรงแรม Vintage Luxury Yacht Hotel  มองเห็นไฟสว่างไสวที่ตัวเรือซึ่งเป็นเหมือนตึก 5 ชั้น ใหญ่โตมาก เพียงแต่มองเห็นจากระยะไกลเท่านั้น เพราะว่าเรือจอดอยู่ที่ริมน้ำ จึงต้องเดินเข้าไปตามทางเดินอีกแต่ก็ไม่ไกลมากนัก

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

สพานเดินขึ้นเรือจากถนนที่รถจอดอยู่ เป็นลักษณะอย่างนี้ มองเห็นเรือโรงแรมลำมหึมา

แต่ละคนหอบหิ้วของสัมภาระกันพะรุงพะรัง กระเป๋ามีกันกี่ใบก็หิ้วกันเข้าไป เพราะว่าของในกระเป๋าที่เตรียมมาจากเมืองไทยก็อยู่ในกระเป๋าทั้งนั้น

เดินหิ้วกระเป๋าและสัมภาระกันจนเหงื่อออก ก็มาถึงตัวเรือ นายซายซายและคุณปอร์ยืนรอถือกุญแจห้องคอยมอบให้ทุกๆคนอยู่ก่อนแล้ว

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

กำลังเอากระเป๋าสัมภาระที่คนรถเอามากองรวมๆกันไว้ เพื่อเอาไปเข้าห้องพัก ของใครของมัน

คือว่าตอนที่พวกเราลงจากรถและรอรับกระเป๋าที่ไต้ท้องรถ ไกด์ของเราคงจะล่วงหน้ามาแจ้งทางโรงแรมแล้ว และจัดการเรื่องห้องพักเรียบร้อย จึงได้ถือกุญแจห้องรออยู่

ผมและคุณหวานได้ห้องชั้นล่าง (โรงแรมมี 5 ชั้น ) สังเกตดูว่าคนที่มาด้วยกันก็อยู่ห้องชั้นล่างเหมือนกันหมด ก็เป็นการดีนะครับ ไม่ต้องขึ้นลงลิฟให้ยุ่งยาก ออกจากห้องมาก็เกือบจะถึงทางเดินออกจากโรงแรมแล้ว ที่จริงจะอยู่ตรงไหนชั้นไหนก็ไม่ลำบากอะไรหรอก แต่หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ๆ หนักๆ ก็เหนื่อยพอสมควรนะครับ

เข้าไปในห้องแล้วเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ จะได้พักผ่อนเสียที วันนี้ทั้งวันไม่ได้หยุดเลย ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินมาจากดอนเมืองเมื่อเช้า ถึงพม่าแล้วก็ไปไหนต่อไหน ไม่ได้หยุดพักเลย ก็มีนี่แหละจะได้พักเสียที

สภาพของห้องก็กว้างใหญ่พอสมควร พอดีผมได้ห้องทางด้านริมแม่น้ำด้วย  เปิดม่านออกก็เห็นแสงไฟจากเรือใหญ่บ้างเล็กบ้างที่เดินทางผ่านไปมา ส่วางอยู่กลางลำน้ำ

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

ทิวทัศน์แม่น้ำย่างกุ้งถ่ายจากข้างๆเรือที่จอดอยู่

อาบน้ำแล้วว่าจะส่งข่าวไปทางบ้านสักหน่อย แต่ไว – ไฟ ที่โรงแรมนี้ช้ามาก ส่งไม่ค่อยออกคงเป็นเพราะว่า มีคนใช้มากนั่นเอง แต่เราก็ไม่กังวลอะไร พยายามส่งข่าวถึงทางบ้านว่ามาถึงเรียบร้อย และเข้าพักที่โรงแรมแล้ว ก็เท่านั้นเอง

มาที่พม่านี้ผมไม่ได้ซื้อแพ๊กเก็ตเกี่ยวกับโทรศัพท์และเน็ทแต่อย่างใด เพราะคิดว่ามาเพียงไม่กี่วันก็กลับแล้ว จึงไม่ได้ติดต่อกับใครเลย

รายละเอียดต่างๆของห้องพักที่โรงแรมเรือนี้ ผมคงไม่ได้เอ่ยรายละเอียดอะไรมากนะครับ  เพราะว่ามาถึงก็มืดค่ำมากแล้ว  ทีวียังไม่ได้เปิดดูเลย ก่อนอื่นอาบน้ำเสียก่อนเพราะว่าเหนื่อยมาตัวเหนียวมาทั้งวัน ทำธุระส่วนตัวแล้วก็นั่งคุยกันเพียงเล็กน้อยก็ล้มตัวนอน อากาศให้ห้องเย็นสบายด้วยแอร์ ไม่นานนักก็ม่อยหลับไป

การไปพักที่โรงแรมไม่ว่าที่ไหนๆผมนอนไม่ค่อยหลับ เหมือนกันทุกที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร มีใครเหมือนผมบ้างหรือเปล่าครับ

ตอนที่นายซายๆแจกกุญแจห้องนั้น แกบอกว่า พรุ่งนี้ตื่นกันแต่เช้าหน่อย  6 โมงเช้าทำธุระส่วนตัวกันให้เสร็จเรียบร้อยตรวจดูข้าวของต่างๆของเรา สายชาร์ตแบตโทรศัพท์ก็อย่าได้ลืม เก็บเอามาให้หมด ถ้าลืมแล้วก็จะไม่ได้ย้อนกลับมาเอาแล้ว

แล้วก็ให้ไปรวมตัวกันที่ชั้น 3 ซึ่งเป็นห้องอาหารของโรงแรม เราจะไปกินอาหารเช้ากันที่ห้องนั้นในเวลา 7 โมงเช้า เพราะว่าห้องอาหารจะเริ่มเปิดบริการในเวลานั้น เมื่อกินอาหารกันเสร็จแล้วจะออกจากโรงแรมนี้เพื่อเดินทางไปเที่ยวซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการมาทัวร์พม่ากันต่อไป

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

นั่งรอเวลาห้องอาหารเปิดตอน 7 น.ที่หน้าห้องอาหาร

พวกผมตื่นกันแต่เช้าทุกคนละครับ ไม่มีใครจะนอนตื่นสายเหมือนที่บ้านเป็นแน่ ดังนั้นก่อนเวลา 7 โมงเช้าเล็กน้อยทุกคนก็ทยอยกันขึ้นไปที่ห้องอาหารของโรงแรมซึ่งอยู่ที่ชั้นที่ 3

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

ก่อนเข้าไปกินอาหารเช้าที่ในห้องอาหาร ถ่ายรูปกันตรงหัวเรือกันก่อน

     ห้องอาหารนี้มีอาหารหลายอย่าง ซึ่งเป็นอาหารเช้าเหมือนโรงแรมที่บริการให้นักท่องเที่ยวทั่วๆไป อาหารส่งกลิ่นหอมฉุย ทำให้มีความรู้สึกว่าหิวมากขึ้น ต่างคนก็ต่างไปตักอาหารที่ชอบ แล้วก็กินอาหารกันอย่างมีความสุข พวกใครพวกมันนั่งล้อมรอบโต๊ะ กินกันไปคุยกันไปเสียงดังลั่น

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel
โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel
โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotelโรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

     วันนี้เป็นวันที่สองของการท่องเที่ยวในพม่าของเรา ต่อจากนี้ไปไกด์จะพาพวกเราไปเที่ยวที่ไหน ไกด์ยังไม่ได้บอก ลองดูในโปรแกรมที่เขาจะพาเที่ยวในรายการเช้าวันนี้แล้วก็รู้ว่า ยังต้องนั่งรถไปอีกไกล แต่คณะทัวร์ทุกคณะย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงเสมอๆครับ

โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotelโรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel
โรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotelโรงแรมเรือ Vintage Luxury Yacht Hotel

ก่อนออกเดินทางจากเรือในเช้าวันนี้ ถ่ายรูปกันที่นี่เป็นที่ระลึกครับ

     แต่ที่แน่ๆในตอนที่พวกเรากินอาหารเที่ยงกันแล้ว จะเดินทางไปยังพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งอยู่ไกลมาก ต้องนั่งรถไปอีกหลายชั่วโมง แต่ก่อนจะไปพระธาตุอินทร์แขวน ในตอนเช้าของวันนี้ จะไปไหนต้องติดตามกันตอนต่อไปครับ

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

 

share now2

 เจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon  Pagoda) ที่เมืองย่างกุ้ง

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง     เจดีย์ชเวดากอง เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับแรก ที่นักท่องเที่ยวทุกคน ที่เดินทางมาประเทศพม่า จะต้องเข้าไปเยี่ยมชมและสักการะเป็นลำดับต้นๆ 

     เจดีย์ชเวดากอง แปลว่า เจดีย์ทองคำแห่งเมืองตะเกิง เป็นเจดีย์ทองคำที่สร้างขึ้นบนเนินเขาที่ชื่อว่า เชียงกุตตระ  (Thienguttara Hill หรือ Singuttara Hill) เจดีย์นี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความโดดเด่นสูงสง่าสวยงาม สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง เพราะสูงเด่นเป็นสง่าเป็นสีทองทั้งองค์ มีความสูงถึง 98 เมตร ไม่มีตึกหรืออาคารสูงมาบดบังได้

     บนยอดสูงสุดของเจดีย์มีผู้บันทึกไว้ว่า มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด ชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ 

     ตามตำนาน เจดีย์ชเวดากองนี้สร้างขึ้นเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างโดยชาวมอญเป็นผู้สร้างขึ้น เจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งรายละเอียดต่าง รวมทั้งประวัติและตำนานของเจดีย์องค์นี้ มีมากมาย มีคนเขียนเอาไว้เยอะแล้ว ผมจึงไม่ได้เอ่ยขึ้นมาในที่นี้ อยากทราบรายละเอียดต่างๆละก็ไปหาใน Google นะครับ

     เมื่อคณะของเราเดินทางมาถึงต่างคนต่างก็มองไปที่ยอดเจดีย์ซึ่งสูงเสียดฟ้าและใหญ่โตมโหฬาร ยอดของเจดีย์และองค์เจดีย์ต้องแสงอาทิตย์ยามบ่ายเหลืองอร่าม

     เมื่อลงจากรถกันหมดแล้วเห็นที่ทางขึ้นเจดีย์มีสิงห์รูปปั้นตัวใหญ่มากสองตัวอยู่ทางซ้ายและขวาของทางเข้า มีคนที่มาเที่ยวและมาสักการบูชาเดินเข้าออกกันขวักไขว่

     ไกด์ของเราคือนายซายซาย ไม่ได้บอกพวกเรามาก่อนว่า ทางขึ้นเจดีย์นี้ที่จริงมีทางเข้าได้หลายทางพวกเราเลยรู้สึกงงๆอยู่

     นายซายซายถือธงผ้าเขียวๆ เดินนำพวกเราเข้ามาทางหนึ่ง ไม่ได้เข้าไปทางที่มีทางเดินเป็นสายพาน และเป็นบันไดเลื่อนขึ้นไปยังองค์พระธาตุเจดีย์ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่จะเดินขึ้นไปทางนั้น

     แต่นำหน้าพาพากเราเข้าไปทางที่มีลิฟท์ ทางขึ้นองค์พระเจดีย์ทางลิฟท์นี้สังเกตดูไม่ค่อยมีคนใช้มากนัก ส่วนใหญ่จะเข้าทางด้านหน้ากัน

     ออกจากลิฟท์แล้วก็โผล่ที่ๆทำการของเขา มีพนักงานคอยช่วยอำนวยความสะดวกให้อยู่หลายคน ไกด์บอกให้พวกเราทั้งหมด รออยู่ตรงหน้าลิฟท์ก่อน แล้วเขาก็เดินลิ่วไปที่เคาน์เตอร์ ซึ่งมีพนักงานนั่ง ยืนอยู่หลายคน

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

     นายซายซายคงไปซื้อบัตรค่าเข้าชม และคงไปเสียเงินค่าฝากรองเท้าด้วย สักครูหนึ่งก็เสร็จเรียบร้อยเดินกลับมาที่พวกเรายืนอยู่ นายซายซายและคุณปอร์ซึ่งเป็นไกด์ผู้ช่วยที่เดินทางมากับเราจากกรุงเทพฯ ช่วยกันเอาบัตรซึ่งเจาะรูผูกเชือกแล้ว มาแจกพวกเราแต่ละคนและบอกว่า ให้เอาบัตรนี้แขวนคล้องคอเอาไว้ เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเราได้เสียเงินค่าเข้าชมกันแล้ว ที่นี่ไม่เสียค่ากล้องถ่ายรูปและกล้องถ่ายวีดีโอครับ (สถานที่เที่ยวบางแห่งต้องเสีย ประมาณ 100 จั๊ด)

ต่อจากนี้ไปพวกเราก็เดินเท้าเปล่ากันจนกว่าจะกลับละครับ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่าบ่ายมากแล้วอากาศค่อยคลายความร้อนลงไปมากแล้ว

     เสร็จธุระจากทางหน้าลิฟท์แล้ว เดินออกไปเล็กน้อยก็โผล่มาที่ลานกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นลานของเจดีย์เลยทีเดียว อันดับแรกนี้ก็ต้องซื้อดอกไม้และเครื่องไหว้พระกันก่อน นายซายซายและคุณปอร์บอกให้พวกเรารออยู่ก่อน ทั้งสองคนก็ไปชี้อดอกไม้กำมาหลายชุดเขาคงกะแล้วให้พอดีกับคนที่ไปด้วยกัน เพราะว่าต้องซื้อทุกๆคน

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง
เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง
เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง
เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

สักพักหนึ่งทั้งสองคนก็หอบดอกไม้มาคนละหอบใหญ่ๆ มายืนต่อหน้าพวกเรา ใครจะต้องการก็บอกเขาแล้วก็จ่ายเงินให้นายซายซายไปตอนนี้เลย

ดอกไม้กำไหนจะไหว้ที่ตรงไหน นายซายซายก็อธิบายพร้อมด้วยขายดอกไม้ให้พวกเราไปด้วย แกบอกว่าดอกไม้ชุดที่มีฉัตรทองให้ไปไหว้ที่ตรงนั้น กำที่มีฉัตรเงินให้ไปไหว้ที่ตรงนี้ ให้พวกเราจำเอาไว้ จะได้ไม่ผิดพลาดสับสน

ก่อนจะไปจากตรงนี้ นายซายซายก็นัดเวลาขากลับให้พวกเรามากันตามเวลา มารวมกันที่เสาต้นหนึ่งซึ่งใหญ่และสูงพอสมควร บนยอดเสาจะมีหงส์เกาะอยู่ แล้วนายซายซายก็ชี้ให้ดูเสาต้นนั้น ซึ่งแกบอกว่า ที่เจดีย์นี้จะมีเสาที่มีหงส์อยู่ข้างบนเพียงต้นเดียวเท่านั้น ขากลับถ้าหลงก็ให้เดินดูเสาที่มีหงส์ไปเรื่อยๆแล้วจะมาถูกเอง

 ต่อจากนี้ไปพวกเราก็แยกย้ายกันไปตามแต่จะไปตรงไหน ที่ว่าแยกย้ายกันไปนั้น เพราะว่าทัวร์เที่ยวนี้ไม่ได้เป็นพวกเดียวกันทั้งหมด บางคนมากันสามคนบ้าง สองคนบ้าง แต่ที่มาคนเดียวเห็นจะไม่มีนะครับ

ผมกับคุณหวานเดินกันไปเพียงสองคนเท่านั้น เดินไปประเดี๋ยวเดียวก็เห็นคนมากมายกำลังนั่งที่พื้นไหว้พระกันอยู่ ก็เลยเข้าไปไหว้กับเขาบ้าง ที่ตรงนี้เราไหว้ด้วยดอกไม้กำที่มีธงและมีฉัตรทอง คงจะเป็นพระประธานประจำองค์เจดีย์เป็นแน่จึงมีคนมากราบไหว้กันมากที่สุด คนที่มาถึงใหม่ๆก็จะมากระจุกอยู่ที่ตรงนี้

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

เสร็จแล้วก็ไปไหว้พระอีกที่หนึ่งถัดไปซึ่งไหว้ด้วยดอกไม้กำเหมือนเดิมแต่ต่างกันที่เป็นฉัตรเงิน เรียบร้อยหมดแล้วไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ต่อจากนี้ไปก็เดินดูอะไรต่างๆไปเรื่อยๆ โดยการวนรอบเจดีย์ไปทางขวา (ตามเข็มนาฬิกา) แต่ใครจะเดินวนทางไหนผมว่าก็น่าจะได้ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดนะครับ แต่ที่มีปัญหาก็คือจะเดินสวนทางกับคนอื่นๆซึ่งมีหนาแน่น เพราะเขาเดินวนทางขวา (ตามเข็มนาฬิกา) กันทั้งนั้น

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากองเที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากองเที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

 

บ่ายจัดจนเกือบจะเย็นแล้ว อากาศไม่ร้อนและพื้นหินอ่อนก็เย็นลงแล้ว ผมและคุณหวานเดินไปเรื่อยๆ เมื่อยมากนักก็นั่งพักกันเสียหน่อย ก็นั่งที่พื้นเลยละครับ เห็นมีคนนั่งบ้างเหมือนกัน เหตุที่นั่งกับพื้นทางเดินนั้นก็เพราะว่า มองดูแล้วไม่เห็นมีเก้าอี้นั่งเลย

ที่รอบๆองค์เจดีย์นั้นเขามีที่สรงน้ำพระตามวันเกิดด้วย ใครเกิดวันไหนก็ไปกราบไหว้พระที่ตรงนั้น เช่นคนเกิดวันอาทิตย์เขาก็มีป้ายบอกวันเป็นภาษาอังกฤษ พออ่านรู้นะครับ

ผมเกิดวันอาทิตย์ ก็เดินๆดูเห็นแล้วก็ไปไหว้แล้วก็จับเอาขันมาตักน้ำที่ในอ่างข้างหน้า ตามที่ไกด์ของเราบอกมาก่อนหน้านี้ ราดลงไปที่รูปปั้นพญาครุฑเล็กๆ เขาบอกให้รดน้ำตามอายุนะ แต่คงจะไม่ไหว ผมก็รดน้ำลงไปเป็นพิธีเท่านั้นเอง มีคนมาเข้าคิวต่ออีกจึงต้องรดเท่านั้นแหละครับ

 

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง
เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง
 เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

ส่วนคุณหวานเขาเกิดวันเสาร์ซึ่งมีรูปปั้นเป็นพญานาค เขาก็รดน้ำไปตรงพญานาคจนครบอายุ กว่าจะหาที่สรงน้ำสำหรับคนเกิดวันเสาร์ผมก็ต้องเดินหาเกือบรอบเจดีย์ เพราะว่า แต่ละวันนั้นเขาไม่ได้ทำหรือจัดให้อยู่เรียงๆกัน แทนที่วันเสาร์กับวันอาทิตย์จะอยู่ใกล้กัน กลับไม่อยู่เสียนี่แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือเสียว่ามาเที่ยวและมาทำบุญก็แล้วกันนะครับ

 

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากองเที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง
เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากองเที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

เย็นแล้วคนยิ่งมาก ขนาดลานเจดีย์กว้างใหญ่ ยังต้องเดินเกือบๆเบียดกัน มีคนที่เคยมาเที่ยวแล้วบอกว่ายิ่งค่ำคนยิ่งเยอะเขานิยมมากันตอนค่ำๆ อากาศไม่ร้อน พื้นหินอ่อนไม่ร้อน และแสงสีสว่างไสวสวยงามยิ่งนัก

ที่เห็นก็มีพวกฝรั่งไม่มากนัก จะมีมากก็คนเอเชียนี่แหละครับ แต่จะเป็นชาติไหนบ้างก็ดูไม่ค่อยออกหรอกครับ เพราะไม่ค่อยแตกต่างกัน

ผมและคุณหวานเดินวนขวาไปเรื่อยๆ ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นลานกว้างมีคนนั่งอยู่มากแล้ว สถานที่นี้เขาเรียกว่า ลานอธิษฐาน ผมเข้าไปใกล้ๆและนั่งลงในกลุ่มคนบ้าง พลางกราบไหว้แล้วก็อธิษฐานแต่สิ่งที่ดีๆ

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง
เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

ตามประวัติเล่าว่าที่ลานอธิษฐานนี้ มีกษัตริย์บางพระองค์ของพม่าในสมัยโบราณเคยมาอธิษฐาน ณ ที่แห่งนี้ เช่นเมื่อ พ.ศ. 2094 - 2124 พระเจ้าบุเรงนองได้มาสักการะที่ลานอธิษฐานแห่งนี้หลายครั้ง ก่อนออกไปทำศึกสงคราม เป็นคำที่เขาเล่าๆกันมานะครับ

ผมนั่งที่ลานอธิษฐานเป็นเวลานานพอสมควร พร้อมกับถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึกด้วย ต่อจากนั้นก็ชวนกันเดินไปรอบๆเจดีย์ชมนั่นนี่ไปเรื่อยๆ เมื่อยบ้างก็นั่งพักกันที่บนพื้นลานข้างๆเจดีย์นั่นแหละ เห็นมีคนอื่นๆเขาก็นั่งพักเช่นเดียวกับเรา คงเมื่อยขาเหมือนกันครับ

 

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากองเที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

เย็นมากแล้วเกือบค่ำแสงไฟจากองค์เจดีย์เริ่มเปิดสว่างไสว สวยงามยิ่งนัก ยิ่งค่ำคนก็ยิ่งมากทำให้เห็นว่า ผู้คนเหล่านี้มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อองค์พระเจดีย์จริงๆ

เที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากองเที่ยวพม่า พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

 ใกล้เวลานัดหมายที่จะเดินทางกลับแล้ว ผมและคุณหวานจึงเดินไปที่นัดหมายคือ ตรงที่มีเสาหงส์ เมื่อไปถึงเห็นพวกเรามายืนๆนั่งๆกันอยู่หลายคนแล้ว

เมื่อได้เวลาคณะทัวร์ของผมก็มารวมตัวกันครบ ไกด์ของเราและคุณปอร์ จึงได้เดินนำไปยังจุดที่เราเข้ามาคือตรงหน้าลิฟท์นั่นเอง ไปรับเอารองเท้าที่ฝากไว้ เรียบร้อยแล้วก็ลงลิฟท์ ถึงชั้นล่างแล้วก็ออกไปจากตัวอาคาร รถของเรามาจอดรออยู่แล้วครับ

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ


share sija

ตลาดสก๊อต (Scott Market)

ตลาดสก๊อต หรือเรียกอีกอย่างว่า ตลาดโบ-ยก อองซาน (Bogyoke Aung San Market)

     วันแรกที่มาถึงพม่าก็ตะลุยเที่ยวกันเลยยังไม่ได้หยุด ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเวลาที่เขาจัดรายการไว้มีน้อย แต่ละแห่งจึงแวะกันใช้เวลาเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

     ในวันแรกนี้จึงต้องตะลุยเที่ยวกันตามโปรแกรมของเขาให้ครบ เพราะว่าในวันพรุ่งนี้เขาจะพาไปเที่ยวที่ พระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองย่างกุ้งมาก นั่งรถไปอีกประมาณ 4 ชั่วโมงจึงจะถึงที่พักรถและเปลี่ยนรถ เพื่อขึ้นเขาต่อไป

     ดังนั้นในตอนนี้เมื่อออกจาก “เทพทันใจ” แล้ว พวกเราจึงจะไปเที่ยวที่ตลาด สก๊อต ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีชื่อเสียงมากในเมืองย่างกุ้ง เป็นศูนย์รวมของตลาดเพชรพลอย และของอื่นๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวไทยจะต้องมากันที่ตลาดนี้ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง

รถวิ่งวกวนในตลาดของเมือง ท่ามกลางรถที่จอแจไม่นานนักก็ถึงตลาด ที่เรียกว่า ตลาดสก๊อต

เมื่อกำลังเดินทางมาที่แห่งนี้ นายซายซาย ได้เล่าเรื่องต่างๆเกี่ยวกับตลาดนี้คร่าวๆมาแล้ว

     ผมจึงขอกล่าวให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงสถานที่แห่งนี้คือ  ตลาดสก๊อต (Scott Market) หรือเรียกอีกอย่างว่า ตลาดโบ-ยก อองซาน (Bogyoke Aung San Market)

     ที่นี่เป็นแหล่งศูนย์รวมของฝากทุกชนิด เป็นตลาดที่มีสินค้าหลากหลายมาก ตั้งแต่อาหารนานาชนิด เสื้อผ้า ของที่ระลึกต่างๆ เครื่องเงิน, อัญมณี, ไม้แกะสลัก, เครื่องแกะสลัก, เครื่องลงรักปิดทองต่างๆ, ถ้วยชามจีนโบราณ, โคมไฟแก้ว และแจกันเจียระไนโบราณ, ผ้าไหมลายต่างๆ

     ตลาดนี้สร้างโดยนายสก๊อต ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ ตลาดสก๊อต เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด มีอาคารหลายหลังเชื่อมต่อกันหลายหลัง มีสินค้าวางขายแทบทุกชนิด  คล้ายจตุจักรและสยามบ้านเรา

     ตลาดสก็อต (Scott Market) หรือ ตลาดโบ-ยก อองซาน ตั้งอยู่ใกล้กับอาคารการรถไฟของประเทศพม่าในกรุงย่างกุ้ง   ตลาดสก็อต เปิดทำการทุกวัน เวลา 10.00 – 17.00 น.

     เมื่อมาถึงแถวๆตรงหน้าตลาดซึ่งอยู่ริมถนนใหญ่จะไม่มีที่จอดรถ เขาปล่อยพวกเราลงแล้ว รถที่พาเรามาก็วิ่งไปหาที่จอดที่อื่นๆ เมื่อได้เวลาแล้ว ไกด์คือนายซายซายก็จะโทรฯเรียกให้มารับพวกเราที่หน้าตลาดตามเวลาที่ได้นัดกันเอาไว้

ไปเที่ยวพม่า ตลาดสก๊อตทางเข้าตลาดสก๊อต จะเห็นว่ามีคนมาที่ตลาดนี้กันมาก

     ตอนนี้ก็บ่ายแล้วเขาให้มาเที่ยวที่ตลาดนี้ก่อนเพื่อถ่วงเวลา ก่อนที่จะไปเที่ยวที่เจดีย์ “ชเวดากอง”

     ที่เจดีย์ชเวดากองนั้นไกด์บอกว่าต้องไปในตอนเย็นๆหน่อย เพราะว่าในตอนกลางวันอากาศร้อน พื้นที่เป็นปูนหรือหินขัดที่บริเวณรอบๆเจดีย์จะร้อนไปด้วย ต้องถอดรองเท้าเดินก็จะเดินกันไม่ไหวเพราะว่าพื้นที่กว้างใหญ่มาก

     ดังนั้นจะเห็นได้ว่า นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวที่ เจดีย์ ชเวดากองนั้นมักจะไปในตอนเย็นๆ ซึ่งจะมีผู้คนหนาแน่นมากในตอนนั้นและจะอยู่กันถึงมืดค่ำ

     ในตอนนี้พวกเราจึงมาเที่ยวกันที่ ตลาดขายเพชรพลอย กันเสียก่อน เมื่อลงจากรถกันที่ทางเข้าตลาดแล้ว ไกด์ซายซายบอกว่า ให้เวลา 2 ชั่วโมง ให้เดินดูสิ่งต่างๆในตลาดให้จุใจ

     ใครอยากซื้ออะไรก็ซื้อกันได้มีเวลาเหลือเฟือ แต่ไม่ทราบว่าจะมีคนสักกี่คนที่ตั้งใจมาซื้อเพชรพลอยและสินค้าอื่นๆกันที่นี่ สำหรับผมและคุณหวานคงไม่ซื้ออะไรหรอก เพราะว่าตั้งใจจะมาเที่ยวให้รู้ให้เห็นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

     แล้วทุกคนก็พากันเดินเข้าไปในตลาดเป็นกลุ่มๆ กลุ่มใครกลุ่มมัน อยากจะไปดูไปซื้ออะไรก็ไป ตลาดนี้กว้างขวางมากซึ่งเป็นโครงเหล็กสูงโปร่ง แต่ก็อากาศร้อนอยู่ดี  มีแผงขายเพชรพลอยเรียงกันไปเป็นแถวๆ นอกจากนั้นก็มีจำพวกผ้า โสร่งแบบของพม่า ภาพเขียนสวยๆมากมาย สิ่งแกะสลัก วางขายกันเป็นตับ

 

ไปเที่ยวพม่า ตลาดสก๊อตไปเที่ยวพม่า ตลาดสก๊อต
ที่ทางเข้าตลาดด้านหน้า

ไปเที่ยวพม่า ตลาดสก๊อตไปเที่ยวพม่า ตลาดสก๊อต
ไปเที่ยวพม่า ตลาดสก๊อต
ข้างในตลาด

     นอกจากสายเมนข้างหน้าแล้ว ก็ยังมีซอกซอยอีก ที่เขาขายสินค้าต่างๆอีกมากมาย  บางร้านก็มีคนมุงซื้อกันอย่างเนืองแน่น ผมสงสัยว่าเขามุงซื้ออะไรกันก็เฉียดๆเข้าไปดู

     จึงรู้ว่าเขาขาย ทานาคา ซึ่งเป็นท่อนไม้เล็กบ้างใหญ่บ้าง ขนาดข้อมือก็มี เขาตัดเป็นท่อนสั้นๆ เพื่อว่าเวลาซื้อเอาไปแล้วก็จะได้ถือติดตัวไปได้ง่ายๆสำหรับนักท่องเที่ยว ก็มีเหมือนกันที่นักท่องเที่ยวกลุ่มผมซื้อติดมือกลับบ้านไปด้วย ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าทานาคาคืออะไร อาจจะมีบางคนที่ยังไม่รู้ ผมจึงอยากบอกคร่าวๆเท่าที่รู้นะครับ

     ทานาคานี้เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีต้นกำเนิดในประเทศพม่า เขาจะตัดมาเป็นท่อนๆแล้วเอามาฝนกับหิน

     ผงทานาคาที่ได้จะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ และไม่มีกลิ่นอะไร เอามาผสมกับน้ำพอเหนียวๆ แล้วก็เอามาป้ายที่แก้มสำหรับบำรุงผิว ชาวพม่าหรือชาวเหนือของไทยเรา นิยมใช้กันมานานแล้ว

     มาเที่ยวที่พม่านี้จะเห็นผู้หญิง หรือผู้ชายบางคน ทาแป้ง ทานาคา ที่แก้มบ้างหน้าผากบ้าง เดินตามถนนกันเกลื่อน ก็อย่าแปลกใจอะไรนะครับ เขาทาเครื่องประทินผิวของเขาน่ะครับ

     ทานาคานี้ของแท้ต้องมาจากพม่านะครับ ดังนั้นผู้ที่มาเที่ยวพม่าจึงนิยมซื้อไปใช้กันครับ แต่มีคนบอกว่า บางคนที่ใช้แล้วก็มีอาการแพ้บ้างเหมือนกัน ถ้าใช้แล้วเกิดอาการแพ้ก็ไม่ควรใช้ครับผม

     เรื่องเกี่ยวกับ ทานาคานี้ผมขอบอกเพียงสั้นๆเท่านั้น เพราะว่าผมก็ยังไม่เคยใช้ แต่ถ้าท่านผู้อ่านอยากทราบมากกว่านี้ กรุณาค้นหาเอาที่กลูเกิ้ลนะครับ

     ตลาดสก๊อตกว้างใหญ่มาก เดินไม่ทั่วหรอกครับ อากาศก็ร้อนด้วยและไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไร ผมและคนที่มาด้วยกันอีกหลายๆคนจึงเดินได้ไม่นาน แล้วก็ออกมายืนที่หน้าทางเข้าตลาด เห็นมีนักท่องเที่ยวยืนอยู่กันแออัด พวกเราบางคนก็ยืนกันอยู่ตรงนั้นแล้ว คงเนื่องจากว่าไม่รู้จะดูอะไรนั่นเอง

     ที่ตรงนั้นไม่มีที่นั่งนะครับ ใครเมื่อยมากๆก็อาศัยนั่งกันตรงขั้นบันไดตรงหน้าร้านค้า เป็นการบรรเทาอาการเมื่อยไปในตัว

     ไม่นานนักพอได้เวลาตามที่นัดหมาย รถของพวกเราก็มาจอดรอตรงหน้าตลาดแล้ว คนครบแล้วก็ออกเดินทางไปที่เจดีย์ชเวดากอง ในตอนบ่ายจัดๆของวันนั้น

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

เรื่องที่คุณอาจจะสนใจ

share now

นัตโบโบยี (natboboyee) หรือ ที่คนไทยเรียกว่า เทพทันใจ

นัตโบโบยี (natboboyee) หรือ ที่คนไทยเรียกว่า เทพทันใจเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่าอีกอย่างหนึ่ง ที่มีคนนับถือมากทั้งชาวพม่าเองและชาวต่างชาติด้วย จะเห็นได้ว่ามีคนมาสักการะและมาขอพรไม่ได้ขาด

     เมื่อคณะทัวร์ของผมออกจากเทพกระซิบแล้ว ก็ได้ไปที่ "เทพทันใจ" ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน วันที่ผมได้ไปสักการะท่านเทพทันใจนั้น ในอาคารตรงที่รูปปั้นตัวท่านนั้นคนแน่นมาก นี่ดีว่าก่อนจะมาที่นี่นั้นไกด์ของเราได้โทรติดต่อให้ เจ้าหน้าที่ๆจัดเครื่องกราบไหว้สักการะซึ่งมีหลายอย่างในชุดนั้นเตรียมไว้ให้ คนที่ต้องการจะซื้อเครื่องสักการะเหล่านี้ไกด์จะถามก่อน ใครที่ต้องการต้องบอกไกด์ล่วงหน้าแล้วก็จ่ายเงินกันตอนนี้เลย ไกด์จะได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เขาทำเตรียมเอาไว้ตามจำนวน ดังนั้นเมื่อพวกเรามาถึง ทุกอย่างก็เตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

 
 ไปเที่ยวพม่า ขอพรเทพทันใจไปเที่ยวพม่า ขอพรเทพทันใจ
เอาเครื่องเซ่นไหว้วางลงแล้วกราบท่านก่อน รอคิวให้ผู้ที่มาก่อนขอพรให้เสร็จเสียก่อน

     การสักการะขอพรจากเทพทันใจนั้น  ก็จะต้องทำตามพิธีการของเขา โดยจะมีคนทำพิธีคอยอธิบายวิธีสักการะให้เราแบบเป็นขั้นๆ ซึ่งคนที่แนะนำวิธีการสักการะ สามารถพูดภาษาไทยได้แบบพอฟังเข้าใจ ผมคิดว่าลุงคนนั้นแกคงจะไปทำงานที่เมืองไทยมาหลายปี หรือว่า มีคนไทยมาเที่ยวที่นี่กันมาก จนทำให้ลุงคนจัดการนั้นพลอยพูดไทยได้ไปด้วย

ไปเที่ยวพม่า ขอพรเทพทันใจ
ภาพนี้จะเห็นธนบัตรที่เราเอาไปเสียบไว้ที่นิ้วของ "เทพทันใจ" และเห็นของเซ่นไหว้ที่วางอยู่ข้างล่างที่หน้าท่านด้วย

     เครื่องสักการะเท่าที่ผมเห็นก็มี ดอกไม้กำใหญ่ๆ มะพร้าวอ่อน กล้วยนาค ผ้าคล้องคอ ร่มฉัตรกระดาษ และขั้นตอนของการไหว้คือ เมื่อถึงคิวของเราแล้ว ก็จะนำเครื่องสักการะทั้งหมดที่ซื้อเอาไว้ มาถวายเครื่องสักการะแก่เทพทันใจตรงที่วางตรงหน้าท่าน นั่งลงอธิษฐานขอพร กราบโดยไม่ต้องแบมือ นำธนบัตรซึ่งม้วนเป็นกรวย 2 ใบ (ตามที่เขาแนะนำและทำเอาไว้ก่อนแล้ว) จะราคาเท่าไรก็ได้แล้วแต่จะทำ แล้วนำไปใส่มือที่กำลังชี้นิ้วของนัตโบยีทั้ง 2 ใบ ไหว้ขอพรอีกครั้ง

ไปเที่ยวพม่า ขอพรเทพทันใจ
นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่คอนแนะนำแล้ว ก็ยังมีไกด์ของเราคือนายซายซาย จะช่วยแนะนำตลอดเวลา

ไปเที่ยวพม่า ขอพรเทพทันใจ
ก่อนจะเข้าไปไหว้ท่านนัตโบโบยี ม้วนธนบัตรเป็นกรวย 2 ใบเอาไว้ก่อน ธนบัตรนั้นเป็นเงินสกุลอะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเงินพม่า

     โดยการแตะหน้าผากกับนิ้วชี้ของนัตโบยี จับไม้เท้าของนัตโบยี โดยให้หน้าผากแตะไม้เท้าด้วย เสร็จแล้วก็ดึงธนบัตรออกมาทั้งสองใบ ธนบัตรใบหนึ่งให้เรานำกลับไปเก็บไว้บูชา ส่วนธนบัตรอีกใบนำเอาไปใส่ในตู้บริจาคซึ่งอยู่ใกล้ๆนั้น

     นำผ้าไปคล้องคอเทพทันใจ เป็นอันจบพิธี พิธีการนี้ก็ไม่ช้านักหรอกครับ เพราะว่ามีคนอื่นๆเข้าคิวรอกันอยู่อย่างเป็นระเบียบอีกมาก

     การขอพรเทพทันใจนั้นมีข้อแม้ว่า “พรที่ขอทั้งหมดต้องเป็นสิ่งเดียวกัน ให้ขอได้โดยเอามารวมกันขอเพียงครั้งเดียว และให้ขอในสิ่งที่เป็นไปได้” ถ้าหากว่าท่านผู้อ่านมีโอกาสไปเที่ยว ก็ไปขอพรอธิฐานในสิ่งที่ต้องการ ขอให้โชคดีเป็นของคุณครับ

เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็จะไปเที่ยวสถานที่อื่นๆกันต่อไปครับ 

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ


share now2

พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี และ "เทพกระซิบ" หรือ "อะมาดอว์เมียะ แห่งเมืองย่างกุ้ง"

  เสร็จจากกินอาหารกลางวันกันที่ภัตตาคาร Western Park Ruby อิ่มท้องกันดีแล้วแล้ว ก็เดินทางไปในตัวเมือง ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกสองสามแห่งตามโปรแกรมในวันนี้ ซึ่งแต่ละที่ก็คงใช้เวลาไม่มากมายอะไร มีสถานที่ที่ควรไปชมสองสามแห่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ลงจากรถทีเดียวก็ไปได้ทุกแห่ง แต่ตอนแรกนี้เขาจะพาไปไหว้พระนอนกันก่อนเป็นที่แรก

ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ

 

พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี( Kyauk Htat Gyi Reclining Buddha)

   วัดนี้ตั้งอยู่บนถนนชเวกองได ( Shwe Gon Dine ) เขตตามุย (Tamwe Township) ซึ่งไม่ไกลจากดาวน์ทาวน์ของเมืองย่างกุ้งเท่าไหร่รถออกเดินทางประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ด้านนอกวิหารมีร้านขายของที่ระลึกสองสามร้าน ทางเข้าด้านนี้จะเป็นด้านที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มากัน เพราะไม่ต้องเดินถอดรองเท้ากันมาแต่ไกล ลงรถปุ๊บก็สามารถเข้าวิหารได้ทันที

 แต่ถึงอย่างไรก่อนเข้าตัววิหารก็ต้องถอดรองเท้าฝากไว้ด้านหน้าก่อน ที่วัดนี้มีข้อดีคือไม่มีคนมารุมขายของไหว้พระและไม่ต้องเสียค่ากล้องถ่ายรูป มีเคาน์เตอร์ขายดอกไม้อยู่ข้างในอาคารเพียงแผงเดียวเท่านั้น

 ลงจากรถกันแล้วก็เดินเข้าไปข้างในผ่านประตูเข้าไปก็เห็นพระนอนเจาทัตยีองค์ใหญ่และยาวมาก วิหารเป็นอาคารโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่โตรับองค์พระองค์ใหญ่ชนิดที่กล้องทั่วไปไม่สามารถเก็บภาพทั้งองค์ได้ มีดวงตาสวยงามเป็นประกาย ขนตางอนเห็นได้ชัด คนไทยที่มาเที่ยวกันจึงเรียกกันว่าพระนอนตาหวาน ก็จริงอย่างที่เขาเรียกกันนะครับ

เรื่องพระนอนตาหวานนี้ ก่อนจะมาถึงขณะที่นั่งอยู่ในรถ นายซายซาย ก็เล่าก็อธิบายความเป็นมาต่างๆ ให้ฟังอย่างละเอียดแต่ผมก็จำไม่ค่อยได้

ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ

ซุ้มขาย ธูป เทียน แผ่นทอง และดอกไม้ไม้กำ มีซุ้มเดียว ไม่มีการขายแข่งกันหลายเจ้าให้ยุ่ง

   เราเดินไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนที่ซุ้มขาย เขาก็จะมีแผ่นทองคำเปลวแผ่นเล็กให้มาด้วย เป็นชุดๆ ซึ่งราคาชุดละเท่าใดนั้นผมก็ไม่ได้ถามคุณหวานซึ่งเป็นคนไปซื้อ

 ในวันนี้ก็มีคนมากราบไหว้พระนอนตาหวานนี้มากพอสมควร และคงจะมีคนมาทยอยกันมาทั้งวัน มีพวกทัวร์มาก่อนแล้วสองสามพวก ที่เห็นชัดๆก็มาจากเวียดนาม เพราะว่าใส่หมวกกะโล่มาลักษณะเหมือนงอบผมจึงเดาจากที่เห็น ส่วนพวกอื่นนั้นไม่แน่ใจอาจจะมาจากไทย - ลาว - จีน และพวกฝรั่งก็มี

P1010100

ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ

   

    ผมมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง เกี่ยวกับคณะทัวร์หลายๆคณะ มักจะมีโปรแกรมการท่องเที่ยวคล้ายๆกัน ซึ่งจะเห็นกันอยู่เสมอ ไปที่ไหนก็เห็นกันตามกันไป ซึ่งในการไปเที่ยวที่อื่นๆในวันอื่นๆอีกหลายที่ก็มักจะเจอกันเสมอๆ

   ไหว้พระกันเสร็จแล้ว ก็เดินชมไปรอบๆองค์พระ แล้วก็ถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก กันคนละรูปสองรูป ที่แห่งนี้ก็เหมือนที่แห่งอื่นๆ ที่เขาจะเขียนชื่อหรือประวัติ ของพระนอนองค์นี้เอาไว้บ้าง แต่ก็จะเป็นภาษาพม่า ซึ่งอ่านกันไม่ออกเลยก็เลยไม่รู้ว่าเขาเขียนอะไรบ้าง  ถามไกด์ๆก็บอกคร่าวๆเท่านั้น

   สถานที่แห่งนี้เราไม่ต้องเสียค่ากล้องถ่ายรูป หรือกล้องวีดิโอ เพราะว่ามีสถานที่บางแห่งต้องเสียค่ากล้องด้วยครับ โดยทั่วไปจะเสียเงินประมาณ 10 บาทหรือ 300 จั๊ด เท่านั้น ในกรณีที่เราไม่รู้ว่าต้องเสียเงิน ถ้าเจ้าหน้าที่เขาเห็นเราถือกล้องหรือถ่ายรูปอยู่ เขาก็จะมาสะกิดเราและยื่นบัตรใบเล็กมาให้ เราจ่ายเงินไปแล้วก็เก็บบัตรใบนั้นไว้ให้ดี เผื่อจะมีคนมาเก็บเงินเราซ้ำอีกครับ

ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ

พระพุทธไสยาสน์ เจาทัตยี หรือพระนอนตาหวานเป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความยาวกว่า 70 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดในประเทศพม่า ทั้งพระพักตร์และขนตาที่งดงาม 

  โดยเฉพาะดวงตาของท่านเป็นแก้ว ผลิตมาจากประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ รวมไปถึงพระจีวรที่มีความพลิ้วไหวเหมือนจริง  และเมื่อเดินมายังปลายสุดพระบาทของพระนอนองค์นี้  ตรงที่พระบาทมีภาพวาดประกอบด้วยลายลักษณ์ธรรมจักร ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ

   ส่วนที่บริเวณด้านหน้าวัดเจาทัตยีนั้น มีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ และมีการนำเอานก ปลา ให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อเพื่อนำมาปล่อย เหมือนที่เราเคยเห็นบ่อยๆตามวัดต่างๆที่เมืองไทยบ้านเราครับ และที่ร้านค้านี้แทบทุกร้านก็จะมีไม้แกะสลักเกือบทุกร้าน เพื่อจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว

ผู้ที่สนใจจะซื้อ ก็ต้องเลือกร้านที่มีความประณีตในการแกะสลักซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว และก่อนที่จะตกลงซื้อถามเรื่องราคาดูเสียก่อน ส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้จะพูดภาษาอังกฤษได้ มากน้อยก็แล้วแต่บุคคลครับ ก็ยังดีที่พอสื่อสารกันรู้เรื่อง แต่ถ้าสนใจจริงๆก็เรียกไกด์ของเราให้มาเจรจาให้ดีกว่านะครับ จะดีที่สุด

แต่เท่าที่ผมเห็น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาในคณะผมนี้ ไม่มีใครสนใจซื้อ คงเป็นเพราะเหตุว่า จะกลายเป็นภาระที่จะต้องหอบหิ้วไป เพราะว่าพวกเรายังต้องไปอีกหลายที่ และต้องไปอีกหลายวันนะครับ

  พระนอนเจาทัตยีนี้ตามตำนานว่าไว้ว่าองค์ดั้งเดิมสร้างขึ้นในปี 1907 (พ.ศ.2450) ต่อมาเสียหายเนื่องจากสภาพอากาศจึงทำลายทิ้งในปี 1956 (พ.ศ.2499) และสร้างขึ้นใหม่ในปี 1966 (พ.ศ.2509) องค์พระยาวทั้งสิ้น 70 เมตร ซึ่งใหญ่กว่าพระนอนที่เมืองหงสาวดี

องค์พระมีลักษณะแบบพระพม่า หรือตามจังหวัดทางภาคเหนือของไทยเราคือหน้าหวาน และที่โดดเด่นของพระนอนองค์นี้คือตาหวาน สีสันหน้าตาตลอดจนสีเล็บสดใสทีเดียว อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาโดยละเอียดจะเห็นความประณีตของคนสร้างอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรอยพับ การทับซ้อนของจีวร และที่งดงามมากคือลวดลายอักขระบนฝ่าเท้า มองดูแล้วสวยงามที่สุด

  ก่อนที่จะเล่าเรื่องกันต่อไป ผมอยากจะบอกอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่อง เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในเมืองพม่านี้ เพราะว่าที่เมืองพม่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย การที่พวกผมมาเที่ยวพม่ากันครั้งนี้ ก็จะเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์ของเมืองพม่าเป็นส่วนใหญ่ครับ และท่านผู้อ่านก็เอาไปเป็นความรู้นะครับซึ่งไม่เสียหายอะไร

   ที่พม่านั้นเขาเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเทพเจ้าต่างๆว่า นัต นะครับ  นัตมีความหมายเหมือนกับ เจ้าที่เจ้าทางหรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่านับถือเป็นที่พึ่งทางใจกันมาช้านาน ตามตำนานบอกว่า ก่อนหน้าที่พระพุทธศาสนาได้ถูกสถาปนาขึ้นในพุกาม  นัตมีอิทธิพลต่อชาวพม่ามาก มีการทรงเจ้าเข้าผีกันปกติ และนัตที่ชาวพม่านับถือมีทั้งหมด 36 ตน

  ผมขอต่อตำนานอีกนิดนะครับ พระเจ้าอนิรุทธ์ หรือพระเจ้าอโนรธา (เป็นกษัตริย์องค์หนึ่งของพม่า) ผู้ซึ่งนำพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ได้พยายามให้ประชาชนเลิกนับถือนัต แต่ไม่สำเร็จ จึงได้มีการจัดระเบียบหรือควบคุม

  โดยทรงแต่งตั้งให้พระอินทร์เป็นนัตที่ 37 (เดิมมี 36 นัต ) ให้เป็นกษัตริย์แห่งนัต และสร้างความเชื่อว่า นัตมีหน้าที่คุ้มครองเมือง ดูแลพุทธศาสนสถาน เราจึงเห็นนัตอยู่ตามวัดและเจดีย์ต่างๆทั่วไป พร้อมทั้งตั้งศาลหลวงขึ้นที่เขาโปปา (Popa) หรือที่เรียกกันว่า “มหาคีรีนัต” ด้วย

   ออกจากพระนอนตาหวาน หรือ พระพุทธไสยาสน์ เจาทัตยี แล้วเราก็นั่งรถไปอีกไม่นานนักเพื่อไปสักการะ เทพอีกสองที่ซึ่งอยู่ไกล้ๆกัน และต้องถอดรองเท้าตามระเบียบเหมือนกัน ที่แรกนั้นคือ “อะมาดอว์เมียะ / เมี๊ยะนานหน่วย ”   ที่นักท่องเที่ยวคนไทยเรียกกันว่า "เทพกระซิบ" 

ซึ่งเป็นนัตอีกองค์หนึ่งที่คนไทยนับถือกันมาก ตำนานบอกว่า อะมาดอว์เมียะเป็นธิดาพญานาคที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาโดยเชื่อกันว่าถ้าไปกระซิบขอพรห้ามให้คนอื่นได้ยินแล้วก็จะสมหวัง

  มีคนบอกว่าให้ขอพรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าขอมากๆหรือหลายอย่างท่านเทพจะรับไม่ไหว เพราะว่าวันๆหนึ่งมีคนมาขอพรท่านมากเหลือเกิน ท่านอาจจะลืมพรหรือท่านอาจจะสับสนที่เราขอหลายๆอย่างก็ได้

 

ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ
ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ

อาคารทางด้านขวามือซึ่งเป็นอาคารสองชั้นนี่แหละครับ เป็นที่อยู่ของ เทพกระซิบ” หรือ “อะมาดอว์เมียะ อยู่ชั้นล่างข้างใน

   การที่มาขอพรหรือมาสักการะ เทพกระซิบนี้ ตอนแรกก็ต้องซื้อชุดดอกไม้ของเขาก่อนซึ่งกล่องเล็กๆ มีดอกมะลิ ในชุดนี้จะมีนมกล่องเล็กๆ ผมว่าน่าจะขนาด 100 ซี ซี เห็นจะได้ เสร็จแล้วก็มาเข้าคิวกันขอพร ต่อท้ายกันยาวเป็นแถว แต่ก็ไม่รอนานมากนักหรอกครับ เพราะว่าแต่ละคนที่ถึงคิว ก็รีบกระซิบ กันอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นคนหนึ่งๆจึงใช้เวลาเพียงนิดเดียวก็เสร็จแล้ว

  ขั้นตอนก็คือเอาดอกไม้ไหว้ท่านเทพเสียก่อน (มีเจ้าหน้าที่คอยบอก) แล้วก็โรยดอกไม้เป็นดอกมะลิที่ตรงหน้าท่านเทพ แล้วจึงเอาหลอดแทงเข้าไปที่กล่องนม เหมือนที่เราเคยกินนมกล่องนั่นแหละครับ เสร็จแล้วก็เอานมที่เสียบหลอดแล้วนี้เอาหลอดที่สำหรับดูดนั้นไปจ่อที่ริมฝีปากท่านเทพ สักครู่หนึ่งแล้วก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ๆดูแลเอาไป จากนั้นก็ถึงตอนนี้ละครับ ที่เราต้องเอามือป้องปาก แล้วก็เอาปากของเราเข้าไปชิดที่หูของท่าน แล้วก็จะขออะไรก็ตามใจของคุณครับ เป็นอันเสร็จพิธี

ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ

ผู้คนเนืองแน่นกำลังเข้าคิวรอเพื่อไปกระซิบขอพร จากเทพกระซิบ ภายในตัวอาคาร

ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ

เขาจะก้มตัวลงกระซิบที่หูของท่านเทพแบบนี้ คนที่กำลังกระซิบนี้ไปคณะเดียวกับผม

20160423 152010

ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ
ผู้เขียนก็กระซิบกับเขาเหมือนกัน แต่กระซิบว่าอะไรนั้นเขาห้ามบอกใคร ถ้าบอกแล้วจะไม่สัมฤทธิ์ผลครับ
ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ

เทพกระซิบนั่งห่มผ้าสีเขียวหยกนี่แหละครับ นักท่องเที่ยวที่ไปกรุ๊ปเดียวกับผมกำลังบอกให้ลูกชายรีบกระซิบ เพราะว่ามีคนรออีกเยอะ

ไปเทียวพม่า พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี เทพกระซิบ

มีนักท่องเที่ยงกำลังรอคิวอีกเยอะ แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยไปด้วยดี

 

เมื่อพวกเราที่มาด้วยกันต่างกระซิบกันหมดเรียบร้อยแล้ว ก็พากันออกมาจากท่านเทพกระซิบ มาสวมรองเท้าที่ตรงบันใดด้านหน้า แล้วเดินกันเป็นกลุ่มตามไกด์ตรงไปที่อาคารของ " นัต " อีกตนหนึ่ง ก็คือ ท่าน "เทพทันใจ" ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

 

share now2

อาหารมื้อแรกที่เมืองย่างกุ้ง

     เกือบเที่ยงแล้ว เวลาในพม่าจะช้ากว่าของไทยครึ่งชั่วโมง  ถ้าที่พม่าเป็นเวลาเที่ยงตรงที่ประเทศไทยก็จะเป็นเวลาเที่ยงครึ่ง มิน่าล่ะพวกเราที่มากันเริ่มบ่นหิวข้าวกันแล้ว

เมื่อนั่งเรือข้ามฝั่งจากเจดีย์กลางน้ำเยเลพญามาขึ้นรถกันครบทุกคนแล้ว นายซายซายบอกว่า ต่อจากนี้ไปเราจะไปกินข้าวเที่ยงกันในเมืองย่างกุ้ง ซึ่งต้องนั่งรถไปอีกประมาณ 25 กม. หรือประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่สภาพการจราจร มีคนที่เคยมาเที่ยวแล้วบอกว่า ที่เมืองย่างกุ้งประเทศพม่านี้ ในตอนเช้าๆซึ่งเป็นชั่วโมงเร่งด่วน รถจะติดมากไม่แพ้ที่ในกรุงเทพฯเลยทีเดียว

เมื่อเลยชั่วโมงเร่งด่วนไปแล้วประมาณสายๆรถก็จะไม่ค่อยติดแล้ว พวกเราจึงสบายใจได้ว่า ตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงแล้วรถจึงจะไม่ค่อยติดเท่าไร คงเข้าเมืองย่างกุ้งอย่างสะดวกสบาย

การกินอาหารในมื้อแรกที่เมืองพม่านั้น ทางทัวร์ก็จะเตรียมจัดให้ไว้แล้ว ว่าจะไปกินกันที่ไหน มาเที่ยวโดยบริษัททัวร์ก็ดีอย่างนี้ การเที่ยวในสถานที่ต่างๆ การกิน การนอน ไม่ต้องห่วงแล้วเรื่องนั้นเขาจัดเอาไว้ให้เราเสร็จตามโปรแกรมของเขา ซึ่งก็ตามราคาที่เราจ่ายไปล่วงหน้าก่อนแล้ว เป็นเรื่องที่สบายใจดี

เรื่องการไปเที่ยวที่ต่างประเทศนั้น อาจจะมีบางคนที่ไปเองไม่ต้องไปกับทัวร์ คนนั้นหรือกลุ่มนั้นที่ไปด้วยกัน จะต้องมีคนใดคนหนึ่งที่มีความรู้เรื่องต่างๆในประเทศนั้นๆ ที่สำคัญคือต้องรู้ภาษาของเขาเป็นอย่างดีด้วย จึงจะไปเที่ยวกันอย่างสนุก มิฉะนั้นจะยุ่งยากหลายๆเรื่องถ้าเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย ภาษาก็พูดกับเขาไม่ได้ไม่ดีแน่ๆเลยครับ

เมื่อสองสามปีมาแล้วน้องสาวของผมนี่เอง เขาอยากไปเที่ยวสิงค์โปร์ แล้วก็มาปรึกษากับน้องและหลานๆ ว่าอยากไปเที่ยวสิงค์โปร์ หลานคนหนึ่งก็บอกว่า แค่ไปสิงค์โปร์เท่านั้นไม่ต้องไปทัวร์หรอกไปกันเองนี่แหละ

จากนั้นมาหลานคนนั้นก็ไปซื้อตั๋วเครื่องบิน เมื่อถึงเวลาก็ไปขึ้นเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ การกินอยู่ เรื่องที่พักที่สิงค์โปร์ หรือจะเดินทางจากโรงแรมไปที่ไหนบ้างก็ เป็นการยุ่งยากมาก จนไม่อยากออกไปที่ไหนเลย จนกระทั่งกลับ เขาบ่นให้ผมฟังว่า เข็ดจริงๆเลย เที่ยวหลังอยากไปไหนไปกับทัวร์แหละดีที่สุด

ขณะที่รถกำลังวิ่งไปเมืองย่างกุ้งเพื่อไปกินอาหาร ไกด์ของเราคือนายซายซาย ก็เริ่มทำหน้าที่ของเขา เขานั่งประจำที่ๆใกล้ๆคนขับแล้วก็เริ่มบรรยาย ในตอนนี้พวกเราจะไปกินอาหารกัน นายซายซายก็จะพูดถึงเรื่องอาหารการกินในประเทศพม่าให้เราทราบเป็นความรู้ไปด้วย

แกบอกว่า “ภัตตาคารที่เราจะไปกินกันนี้ คือภัตตาคาร Western Park Ruby นับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองนี้ (นายซายซายยกมือขึ้นมาแล้วชูหัวนิ้วโป้ง) มีข้าราชการ พ่อค้า คหบดี มากินกันที่นี่ กันเป็นประจำ

บางทีก็มีคนใหญ่คนโตของพม่าและบางทีก็มีดาราดังๆของทั้งพม่าและดาราไทยก็เคยมากินอาหารที่นี่ เจ้าของภัตตาคารแห่งนี้เขาจะถ่ายรูปขยายบานใหญ่ๆ ติดเอาไว้ที่ผนัง เดี๋ยวเราไปถึงแล้วเราก็จะเห็นเอง ”  นายซายซายกล่าวยิ้มๆ จึงทำให้ไม่เห็นฟันที่เลี่ยมทอง

สักพักใหญ่ๆรถก็วิ่งเข้ามาที่ในตัวเมืองย่างกุ้งแล้ว นายซายซายก็พูดอธิบายสิ่งต่างๆในพม่าที่เราจะไป เช่นภัตตาคารที่เราจะไปกินกันซึ่งเกือบถึงแล้ว นายซายซาย ก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเล่าให้พวกลูกทัวร์ของเขาฟัง

ก็ดีมากครับ นอกจากเพลิดเพลินดีมากแล้ว ก็ยังได้ความรู้ไปในตัวด้วย ให้สมกับที่มาที่พม่าทั้งที ไม่ได้อะไรติดตัวไปบ้างเลยก็แย่แล้วเสียเที่ยวเปล่าๆครับ

รถบัสที่พาพวกผมนั่งมาวิ่งวกวนอยู่ในตัวเมืองพักหนึ่ง เหมือนกับจะให้พวกผมนั่งชมตลาดของเขาด้วย แต่พวกผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าที่นั่นคืออะไร ตลาดอะไร ถนนอะไร มีป้ายติดไว้ก็อ่านไม่ออก ถึงแม้ว่าไกด์คือนายซายซายจะบอก พวกเราก็จำไม่ได้หรอกครับ

ใกล้เที่ยงเต็มทีแล้ว รถบัสคันนี้จึงเลี้ยวไปส่งพวกผมที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง นายซายซายบอกว่า

กินอาหารที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า

“ ถึงแล้วครับนี่คือภัตตาคาร Western Park Ruby ที่พวกเราจะรับประทานกันที่นี่เป็นเมื้อแรกของพวกคุณที่ได้เดินทางมาถึงประเทศพม่าครับ “ พูดพลางชี้ไปทางอาคารหลังหนึ่ง ซึ่งมีรถทัวร์และรถอื่นๆจอดอยู่ก่อนแล้ว

รถบัสจอดสนิทริมฟุตปาตแล้ว พวกเราต่างก็รีบก้าวลงจากรถกันทันทีเพราะว่าเวลานี้เวลาในพม่าเที่ยงแล้ว เราเพิ่งจะเปลี่ยนจากไทยมาเมื่อตอนที่มาถึงสนามบินพม่านี่เอง ดังนั้นเวลาที่ไทยตอนนี้คงเป็น เที่ยงครึ่งหรือมากกว่านั้นแล้ว หิวข้าวกลางวันกันแล้วละครับตอนนี้

รถบัสที่มาส่งพวกเราเมื่อพวกเราลงจากรถกันหมดแล้ว เขาก็เคลื่อนรถไปหาที่จอดที่อื่นเพื่อไม่ให้มาจอดบังหน้าร้านของเขา จะไปจอดที่ไหนก็ตามใจ พอถึงเวลาจะกลับ นายซายซาย ไกด์ของเราก็คงจะโทรฯไปบอกคนขับรถให้มารับพวกเราเอง เขาคงปฏิบัติดังนี้จนกว่าพวกเราจะกลับไทยนั่นแหละครับ

ที่ประตูร้านอาหารหรือภัตตาคารแห่งนี้ มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง แต่งกายสวยงาม รู้สึกว่าจะเป็นเครื่องแบบของทางภัตตาคาร ยืนต้อนรับผู้ที่มากินอาหารที่นี่ ก็คงเหมือนๆกันทั่วๆไปนะครับ ผมก็เคยเห็นร้านอาหารของไทยหลายๆแห่งก็ จะมีพนักงานต้อนรับอย่างนี้เหมือนกัน

กินอาหารที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า

บริษัททัวร์น่าจะเหมือนกันหมด คือการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างกรณีนี้เป็นต้น พอพวกเราเข้าประจำโต๊ะกลมๆกันหมดแล้ว โดยเขาจัดให้นั่งโต๊ะๆละ 8 คน ก็เหมือนๆกับโต๊ะจีนโดยทั่วๆไปของทางบ้านเรา แต่ของทางบ้านเราโต๊ะหนึ่งนั้นอัดกันนั่งไปได้ตั้ง 10 คนแนะครับ

ไม่นานนักอาหารก็มาหลายๆอย่างพร้อมๆกันเลยเต็มโต๊ะไปหมด นี่แสดงให้เห็นว่าเขาสั่งล่วงหน้าเอาไว้แล้ว และอาหารที่เขาสั่งมานั้นเขาก็คิดว่าอร่อยดีที่สุดแล้ว คงไม่มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมแต่อย่างใด เรียกว่ามีอะไรให้กินก็กินกันหมดแหละ ก็หิวนี่ครับ พนักงานที่เสริฟ อาหารของเขาแต่งกายเรียบร้อยพอสมควร และทำงานคล่องด้วย

กินอาหารที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า

อาหารที่บริษัททัวร์เป็นผู้สั่งล่วงหน้ามาให้เรากินนั้นเรียกว่าใช้ได้เลย มองดูแล้วก็น่าจะอร่อย ที่นี่คงจะคิดว่าเป็นอาหารชั้นหนึ่งของเขาแล้ว มื้อนี้ที่มองเห็นก็มีกุ้งมังกรตัวหนึ่งซึ่งเขาแล่เนื้อและปรุงมาแล้ว พร้อมถ้วยน้ำจิ้ม

มีหัวกุ้งมังกรหัวหนึ่งตั้งโชว์เอาไว้กลางโต๊ะด้วย เขาบอกว่าเนื้อของมันเอามาทำให้อยู่ข้างๆหัวกุ้งนั่นแหละ  (ผมว่าหัวกุ้งนี้คงตั้งโชว์อย่างนี้มานานแล้ว) นอกนั้นก็มีอีกหลายอย่าง ซึ่งผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหาร จึงไม่ขออธิบายว่ามีอะไรบ้าง  ดูรูปที่ถ่ายมาก็แล้วกันนะครับ

กินอาหารที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า

อาหารมื้อนี้นับว่าอร่อยมาก มีปลาตัวใหญ่ (ที่ไม่รู้ว่าปลาอะไร) คนที่นั่งด้วยกันบอกว่าน่าจะเป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง แต่อีกคนบอกว่าคงเป็นปลาเก๋าละนะ ส่วนผมไม่ได้ออกความเห็นอะไร ตักมาชิมดูก็รู้สึกว่าเนื้อแข็งเหนียว (มาก) ไม่เหมือนปลาช่อน ปลาดุกทางบ้านเรา แต่ก็อร่อยดีเพราะว่าผมชอบกินปลาอยู่แล้วด้วย

ผมอยากจะบอกให้ท่านผู้อ่านทราบทั่วๆกันนะครับ ว่าที่พม่านี้เขาไม่นิยมกินน้ำแข็งกัน เขาบอกว่าคนเรานั้นกินน้ำเปล่าก็ดีอยู่แล้วนี่นา กินข้าวเสร็จก็กินน้ำเปล่าๆนี่แหละตามลงไปก็ดีที่สุด ทำไมจะต้องกินน้ำที่แช่น้ำแข็งให้เป็นน้ำเย็นด้วย

ผมว่าคนเรานั้นมีความคิดที่แตกต่างกัน ของอะไรที่ชอบก็หากินเถอะครับ แต่ว่าขออย่างเดียวต้องไปอยู่ในที่ถูกต้องและถูกเวลาด้วยครับ เหมือนกับว่าที่ไหนไม่มีเราก็ไม่กินไม่เรื่องมากนั้นแลฯ

กินอาหารที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
กินอาหารที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
กินอาหารที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า

ดังนั้นในตอนแรกที่เขาจัดอาหารมาใหม่ๆนั้น ก็จะมีแก้ววางอยู่ด้วย แล้วคนที่จัดอาหาร ก็จะหิ้วกระป๋องน้ำแข็งเล็กมาใบหนึ่ง ในนั้นมีน้ำแข็งไม่มากนะครับ มีพอที่จะใส่ลงไปในแก้วน้ำ แบ่งๆกันไปทั้งแปดแก้ว

 แล้วเขาก็รินน้ำใส่ลงไป ก็จะมีน้ำแข็งลอยอยู่ในแก้วเล็กน้อยประมาณ 3-4 ก้อนเท่านั้น (โปรดดูภาพประกอบ)  และต่อมาเมื่อกินข้าวกินน้ำไปเรื่อยๆแล้ว น้ำก็จะหมด ทีนี้ก็ต้องกินน้ำธรรมดาแล้วละ น้ำแข็งเขาไม่มีให้แล้วครับ แต่ถ้าอยากกินน้ำเย็นจริงๆเขาก็มีน้ำขวดน้ำเปล่าเหมือนที่บ้านเรา แช่เย็นเอาไว้ก็สั่งได้นะครับ แต่ก็จะเสียเงินต่างหากคงขวดละไม่กี่สตางค์หรอก กินให้สมกับความอยากกินครับ

อันนี้ผมไม่ได้ว่านะครับ แค่น้ำแข็งนิดเดียวที่พม่าก็ขี้เหนียวด้วย ไม่ใช่นะครับ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่นิยมกินด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบได้นั่นเองครับ แหม ... ทางร้านหรือภัตตาคารก็เคร่งครัดเสียจริงๆ พวกท่องเที่ยวโดยส่วนใหญ่ไปเที่ยวมาแล้วก็เหนื่อย ก็หิว ก็ร้อนมา จึงอยากจะดื่มน้ำที่แช่น้ำแข็งเย็นๆสักแก้วใหญ่ใหญ่ จะได้ชื่นใจบ้างก็เท่านั้นแหละครับ

มีเรื่องตรงกันข้ามกับที่เล่าเรื่องน้ำแข็งมาแล้วก็คือเรื่องผงชูรสนั่นเอง ที่พม่านี้เขานิยมกินผงชูรสกันเป็นอย่างมาก ซึ่งตรงกันข้ามกับเรื่องน้ำแข็ง เขาจะทำอาหารอะไรเขาก็จะตักผงชูรสใส่ลงไปในปริมาณค่อนข้างมาก นายซายซายบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดไหนที่พม่าก็จะใส่ผงชูรสลงไปทั้งนั้น แม้แต่น้ำปลาก็ไม่เว้นเลย

กินอาหารที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่ากินอาหารที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า

อิ่มอร่อยกันกับอาหารมื้อแรกในเมืองย่างกุ้งประเทศพม่าแล้ว

เรื่องนี้เท็จจริงอย่างไรผมก็ไม่ทราบ ไกด์ของผมคือนายซายซาย ได้เล่าเรื่องต่างๆของพม่าที่บนรถในขณะที่รถวิ่งอยู่ ได้เล่าให้พวกผมฟัง ผมก็มาเล่าสู่กันฟังอย่างนี้แหละครับ

กินอาหารที่นี่กันอย่างเอร็ดอร่อยอิ่มหนำสำราญแล้ว หลังจากที่ป้อแป้มาตั้งแต่สายๆ ตอนนี้มีกำลังวังชาดีขึ้นแล้ว จะไปไหนก็ไปกันครับ

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ


share now

 ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 3 พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียม

 

พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียม

     เรียกว่าทัวร์เที่ยวนี้ พอลงจากเครื่องบินแล้วก็ออกเดินทางไปเที่ยวกันเลย เพราะว่ายังมีเวลาที่จะถึงอาหารมื้อกลางวัน ไกด์ของเราคือนายซายซายบอกว่า ตอนนี้เรากำลังเดินทางไปยังจุดแรกที่เราจะไปเที่ยวกันคือเมืองสิเรียมซึ่งอยู่ห่างจากสนามบิน (มิงกาลาดง) เมืองย่างกุ้งประมาณ 25 กม. ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก  เมืองสิเรียมนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำย่างกุ้งที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำหงษา เพื่อมาชมเจดีย์กลางน้ำที่ชื่อว่าพระเจดีย์เยเลพญาซึ่งตั้งอยู่ที่เกาะกลางน้ำซึ่งเป็นเกาะเล็กๆไม่กว้างใหญ่

สำหรับเจดีย์เยเลพญานี้ มีตำนานที่ย่อๆคือ

     เจดีย์เยเลพญา หรือ เจดีย์กลางน้ำ ตามตำนานเล่าว่า เจดีย์แห่งนี้สร้างในสมัยมอญเรืองอำนาจ เมื่อราวพันกว่าปีก่อน โดยมีคหบดีชาวมอญเป็นผู้สร้างและยังได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าน้ำท่วมก็ขออย่าให้ท่วมองค์พระเจดีย์ ถ้ามีผู้คนมากราบไหว้จำนวนมากเท่าไหร่ก็ขอให้ไม่มีวันเต็มล้นพื้นที่ เพราะเจดีย์แห่งนี้สร้างบนเกาะมีสภาพเป็นเพียงเกาะเล็กๆกลางแม่น้ำกว้างใหญ่เท่านั้น และเจดีย์แห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง ไหว้พระขอพรทำธุรกิจทางการค้า

ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 3 พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียมP4230043

 ตรงท่าที่จะข้ามฟากลงเรือนั้น จะมีคนขายดอกไม้และชุดไหว้พระ (มองเห็นข้างหลัง) ถ้าซื้อตรงนี้ราคาไม่แพงเท่าที่ไปซื้อที่เกาะ

     โดยที่พระเจดีย์เยเลพญานั้นอยู่ที่เกาะกลางน้ำ อยู่บนฝั่งก็จะมองเห็นเป็นเกาะเล็กๆ เมื่อมาถึงท่าเรือที่เราจะต้องนั่งเรือข้ามฝั่งไป ตรงท่าเรือก่อนจะข้ามไปนั้น ที่ฝั่งถนนบนตลิ่งเป็นตลาด มีตึกใหญ่ๆ เป็นร้านขายของ ผู้คนเดินกันขวักไขว่

     ส่วนฝั่งที่เป็นท่าเรือที่จะลงเรือข้ามฟาก จะมีคนขายดอกไม้ธูปเทียนที่จะนำไปสักการะพระเจดีย์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ถ้าเราจะซื้อดอกไม้ธูปเทียนเราต้องซื้อตรงนี้เลย เพราะจะมีราคาถูก เขาจะขายเป็นชุดๆ ชุดหนึ่งจะมีหลายๆอย่างด้วยราคาชุดละ 1,000 จั๊ดเท่านั้น (ประมาณ 30-35 บาท)

     ใครที่ชอบแบบไหน ชุดเล็กหรือชุดใหญ่ ก็เลือกเอาตามใจชอบ แต่ก็มีบางคนที่ไปด้วยกันไม่ได้ซื้อเลยก็มี เขาคงตั้งใจจะไปซื้อที่ในเกาะเลยก็ได้

     เรียบร้อยในการซื้อดอกไม้ธูปเทียนแล้ว พวกเราทั้งคณะก็พากันเดินลงบันไดซึ่งไม่สูงชันมากนักลงไปที่ท่าซึ่งเป็นคอนกรีตมีเรือจอดรออยู่

     มารู้ภายหลังว่าเรือลำนี้ที่พวกเราจะข้ามไป ไกด์ได้ติดต่อเหมาลำเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่มีผู้โดยสารอื่นๆปนอยู่เลย ผมจึงไม่ทราบราคาเรือข้ามฟากนี้ค่าโดยสารเที่ยวละเท่าไร

ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 3 พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียม

ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 3 พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียม

คนที่ซื้อชุดดอกไม้มาจากข้างบนท่า และคนอื่นๆที่ไม่ได้ซื้อเดินลงมาขึ้นเรือ ตลิ่งไม่สูงชันมากนัก

ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 3 พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียม

ขึ้นไปนั่งในเรือกันเรียบร้อยแล้ว เรือก็จะค่อยๆเล่นออกจากท่าพาเราข้ามฝั่งไป

ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 3 พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียม

เรือนี้เป็นเรือที่ใหญ่พอสมควร ไม่ใช่เรือหางยาวซึ่งเล็กกว่าเรือที่เรานั่งไปนี้มาก เรือขนาดนี้จึงบรรจุผู้โดยสารได้มากและไม่โคลงเครง ตอนนี้เรือกำลังเทียบท่าที่เกาะพระเจดีย์เยเลพญา

     ในขณะที่เรือกำลังวิ่งไปที่เกาะ นายซายซายบอกให้พวกเราถอดรองเท้าเอาไว้ในเรือนี่แหละ คนที่เป็นคนดูแลในเรือจะเก็บเอาไว้ให้ไม่มีการสูญหาย เพราะว่าตามวัดวาอารามหรือสถานที่ต่างๆของทางศาสนาที่ประเทศพม่านั้น เขาจะไม่ให้ใส่รองเท้าเข้าไปอย่างเด็ดขาด บางแห่งก็มีสถานที่รับฝากรองเท้าด้วย เสียเงินให้เขานิดหน่อย ก็สบายใจดี แต่ในกรณีนี้เราถอดรองเท้าไว้ในเรือกันเลย ไกด์บอกว่าตอนขากลับเราก็จะกลับด้วยเรือลำนี้ จึงเป็นอันว่ารองเท้าไม่มีการสูญหายแน่นอน

ไปเที่ยวพม่า ตอนที่ 3 พระเจดีย์กลางน้ำเยเลพญา ที่เมืองสิเรียม

ถึงท่าเรือที่เกาะกลางน้ำ มองกลับไปที่ท่าเรือที่เรานั่งมา จะมองเห็นท่าน้ำและที่เห็นไกลๆนั้นคือ เจดีย์ใหญ่องค์หนึ่ง แห่งเมืองสิเรียม

     เมื่อเรือจอดเทียบท่าแล้ว พวกเราก็เดินเท้าเปล่าขึ้นบันไดคอนกรีตที่เขาทำเอาไว้อย่างดี ใครจะไปไว้พระหรือเทพเจ้าอะไรต่างๆเพื่อขอพรก็ได้ตามอัธยาศัย แต่ก็ต้องรักษาเวลาที่ไกด์ให้ไว้ด้วย จะได้มาลงเรือกลับตามเวลา

     ทีพระเจดีย์เยเลพญานี้ เป็นเกาะกลางน้ำไม่ใหญ่มากนัก มีสิ่งก่อสร้างต่างๆที่สวยงาม มีคนข้ามมาเที่ยวกันมาก ที่นี่เป็นที่สักการะศักดิ์สิทธิ์ของชาวสิเรียม ซึ่งมีอายุนับพันๆปีแล้ว มีสิ่งก่อสร้างต่างๆที่สวยงาม รวมทั้งพระพุทธรูปปางต่างๆ และรูปปั้นของเทพเจ้า ซึ่งผมไม่ทราบว่ามีเทพเจ้าอะไรบ้าง เขามีป้ายเขียนบอกไว้แต่เป็นภาษาพม่าทั้งนั้น ไม่มีภาษาอื่นๆเลย

 P1010048 

     น่าจะมีภาษาอังกฤษบ้างก็ยังดี จะได้กล้อมแกล้มเดาเอาได้บ้าง จะถามนายซายซาย (ไกด์นำเที่ยว) ก็ไม่รู้ว่าเดินไปทางไหนเพราะฉะนั้นผมจึงบอกไม่ถูกว่า มีอะไรบ้างและรายละเอียดเป็นอย่างไร ได้แต่ถ่ายรูปมาดูกันเท่านั้น เมื่อไม่รู้ตำนานจากที่เขาเขียนไว้ ผมและคุณหวานก็เลยไหว้พระองค์ใหญ่ น่าจะเป็นพระประธาน เห็นมีคนกราบไหว้ปิดทองกันหนาแน่น

     เรียบร้อยแล้วก็เดินชมสิ่งต่าง เพราะว่าสถานที่ก่อสร้างต่างๆเขาสวยงามมาก มีหุ่นรูปปั้นต่างๆซึ่งคิดว่าคงเป็นเทพเจ้าของเขา และมีตู้บริจาคเงินอยู่ทุกๆที่ๆรูปปั้นนั้นๆด้วย เหตุเพราะว่าเป็นเกาะเล็กๆที่กลางน้ำ จึงเดินดูนั่นนี่ไม่นานก็ทั่วหมดแล้ว

     โดยที่เราอ่านหนังสือภาษาของเขาไม่ออก การชมสถานที่ต่างๆบนเกาะนี้จึงไม่ค่อยมีอรรถรสเท่าไรนัก แวะดูนิดหน่อยก็เดินผ่านเลยไป

P1010049

P1010050P4230046

 20160423 110849P1010048

     เมื่อเราสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่และเดินชมกันอย่างอิ่มเอมใจแล้ว สักพักใหญ่ๆก็ถึงเวลาที่ไกด์นัดหมายไว้ให้พวกเรามารวมตัวกันที่ท่าเรือ ซึ่งจะได้ลงเรือข้ามกลับเพื่อจะเดินทางไปยังในตัวเมืองย่างกุ้งต่อไป

     ตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว (เวลาที่พม่าช้ากว่าไทยครึ่งชั่วโมง) คณะท่องเที่ยงของเราต่างคนก็ต่างหิว เพราะว่าตั้งแต่เช้าที่เครื่องบินลงที่สนามบินพม่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครได้กินข้าวกันเลย

     ไกด์บอกว่า รายการต่อไปนี้ก็จะเดินทางเข้าเมืองย่างกุ้ง เพื่อไปกินอาหารกันที่ภัตราคารแห่งหนึ่งในตัวเมือง พวกเราจึงรีบก้าวขึ้นรถกันโดยไม่ชักช้าเลย เพราะว่าทุกคนต่างก็หิวแล้ว

P1010057 P1010054

P1010055

ภาพตอนลงเรือกลับจากเจดีย์กลางน้ำ เจดีย์เยเลพญา

 

ก่อนจะจบเรื่องเจดีย์กลางน้ำ หรือเจดีย์เยเลพญานี้ ก็จะขอเล่าตำนานของสถานที่นี้สักหน่อยครับ

     เมืองสิเรียม (Syriem) เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ตรงจุดบรรจบของแม่น้ำหงสา และแม่น้ำย่างกุ้งมาบรรจบกัน ซึ่งในอดีตเมืองนี้เป็นเมืองท่าที่สำคัญในการเดินเรือของชาวโปรตุเกส  ปัจจุบันเมืองสิเรียมเป็นเมืองอุตสาหกรรม ชาวเมืองส่วนใหญ่ทำงานกันในโรงกลั่นน้ำมัน หรือไม่ก็เป็นลูกจ้างในโรงเบียร์

     ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพม่าเชื้อสายอินเดีย เพราะในสมัยที่พม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ สิเรียมเป็นศูนย์กลางของเมืองท่า และยังเป็นแหล่งผลิตอาหารส่งสู่กรุงย่างกุ้ง และอังกฤษต้องเกณฑ์แรงงานอินเดียมาทำนาหากินกันจนถึงปัจจุบันนี้

     ตามประวัติศาสตร์ของเมืองสิเรียมนี้ พื้นที่มีสภาพเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากน้ำ เป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ ทำให้เป็นที่หมายปองของชาวต่างชาติในสมัยก่อน ในยุคล่าอาณานิคม มีชาวโปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส และชาวฮอลันดาต่างก็แย่งกันขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้

     หลังจากหมดยุคอันเกรียงไกรของอาณาจักรหงสาวดี สิ้นบุญพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าบุเรงนองคือพระเจ้านันทบุเรง พระองค์ทรงอ่อนแอจนบรรดาประเทศราชประกาศแยกตัวเป็นอิสระ

     แม้กระทั่งกองทหารและชาวบ้านก็หลบลี้หนีหาย จนอาณาจักรหงสาวดีที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรแทบกลายเป็นเมืองร้าง กองทัพชาวยะไข่จากรัฐอาระกัน ก็บุกเข้ามาปล้นสะดมแล้วเผาเมืองโดยง่าย พวกยะไข่มีกองทัพที่เข้มแข็งและยังมีทหารรับจ้างเป็นชาวโปรุเกสที่เชี่ยวชาญการรบ เมื่อครั้นเคลื่อนพลมาหงสาวดีก็ตั้งกองทัพเรือที่เมืองสิเรียม

ครั้นเสร็จศึกสงคราม ก็ปูนบำเหน็จให้ทหารรับจ้างโปรตุเกสชื่อฟิลิปเดอบริโต ยีนิโคเต เป็นเจ้าเมืองสิเรียม ตั้งแต่นั้นมาเมืองสิเรียมก็เป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลแทนหงสาวดี


ฟิลิป เดอ บริโต ยี นิโคเต ปกครองเมืองสิเรียมได้ 13 ปี พวกเขาได้ทำลายดินแดนพระพุทธศาสนา ยึดทรัพย์สินและบังคับให้ชาวเมืองสิเรียมเข้ารีตเป็นชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอริก และให้ทำลายรูปปั้นในศาสนาอื่น โดยเฉพาะวัดในพุทธศาสนา กอบโกยผลประโยชน์ทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเมืองสิเรียม

จนพระเจ้าอนอคะเปตลุน กษัตริย์พม่า มาล้อมเมืองสิเรียม จับ เดอ บริโต เสียบประจานรับโทษทัณฑ์สูงสุดตามกบิลเมืองพม่าที่กำหนดไว้สำหรับผู้ที่ปล้นวัดวาอาราม ทนทุกข์ทรมานอยู่สามวันจึงตาย

หลังจากการตายของเดอ บริโต เมืองสิเรียมตกอยู่ในอำนาจของพม่าบ้าง มอญบ้าง ไทยบ้าง กระทั่ง พ.ศ.2428 พม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 อังกฤษได้พัฒนาเมืองสิเรียมเป็นเมืองอุตสาหกรรมและแหล่งปลูกข้าวตราบจนปัจจุบัน

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ


 share sija

นายซายซาย ไกด์ชาวพม่า และความรู้เกี่ยวกับพม่า

     พวกเรานั่งเครื่องบินมาจากสนามบินดอนเมืองดอนเมืองประเทศไทย ตูดยังไม่ทันร้อน เผลอเดี๋ยวเดียว ก็ได้ยินเสียงบอกมาทางลำโพงของเครื่องบิน ว่าขณะนี้เครื่องบินมาถึงประเทศพม่าแล้ว และกำลังลดความสูง จะลงจอดที่สนามบินนานาชาติของประเทศพม่า คือสนามบิน มิงกาลาดง ขอให้ท่านรัดเข็มขัดกับที่นั่งของท่านด้วย ในทำนองนี้

     อีกไม่กี่นาทีต่อมาล้อของเครื่องบินก็แตะกับรันเวย์ของสนามบิน เท่ากับพวกเรามาถึงประเทศพม่าโดยปลอดภัยแล้วครับ ที่สนามบิน มิงกาลาดง ของพม่ามีคนไม่พลุกพล่านมากนัก ไม่เหมือนกับที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งมีผู้คนหนาแน่นมาก

     พวกเราผ่านการตรวจคนเข้าเมืองกันทุกคนแล้ว ก็ไปรับกระเป๋าเดินทางที่รางเลื่อนกระเป๋า ก็ต้องคอยดูว่ากระเป๋าของเราใบไหนที่กำลังเลื่อนมา

     ผ่านทุกอย่างหมดแล้ว ไกด์ที่มาด้วยกันจากเมืองไทยเป็นสุภาพสตรีชื่อ คุณปอร์ ซึ่งตามมาคอยอำนวยความสะดวกให้คณะของเราตลอดการมาเที่ยวพม่าในครั้งนี้ ก็พามาที่นอกห้องของสนามบินซึ่งอยู่ด้านหลัง มารวมตัวกันทุกคนแล้ว ไกด์ผู้หญิงก็ได้อธิบายเรื่องต่างๆ ที่เราจะเดินทางกันในวันนี้ โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัย และข้อห้ามต่างๆที่อยู่ในเมืองพม่า

ไปเที่ยวพม่า เจดีย์กลางน้ำเลย์ พญาแห่งเมืองสิเรียม

กำลังมารวมตัวกันที่สนามบิน หลังจากลงจากเครื่องบิน และผ่านการตรวจต่างๆแล้ว

     ไกด์ผู้หญิงของเรากำลังชูป้าย สีเขียวๆให้รู้ว่ามารวมตัวกันที่ตรงนี้ ประเดี๋ยวเดียวก็มีชายคนหนึ่งเดินแบบรีบๆถือธงสีเขียว เข้ามาหาคณะของเรา เขาเป็นชายวัยประมาณ 45 ปี แต่งตัวแบบชาวพม่า คือนุ่งโสร่ง และสวมเสื้อขาวๆแบบพม่า

     ไกด์คนไทยบอกว่าคนๆนี้แหละคือไกด์ชาวพม่า ซึ่งพูดภาษาไทยได้ และจะเป็นผู้นำในการท่องเที่ยวของพวกเราเที่ยวนี้ทั้งหมดจนถึงวันกลับ เขาจะอยู่กับพวกเราตลอดการท่องเที่ยวในพม่านี้ ไกด์พม่าเป็นคนหน้าตาดี ยิ้มแย้มอยู่เสมอ

     ไกด์ผู้หญิงบอกพวกเราว่า ต่อจากนี้ไปเขาก็จะส่งมอบนักท่องเที่ยวคือพวกเรานี้ให้อยู่ในความดูแล ของไกด์พม่าคนนี้ตลอดไป

     ไกด์ชาวพม่าไม่พูดพร่ำทำเพลงเลยละครับ ถือธงสีเขียวๆเดินนำพวกเราไปขึ้นรถบัสค้นหนึ่ง ซึ่งจอดรอพวกเราอยู่ในที่จอดรถของสนามบิน แล้วพยักหน้าพาพวกเราเดินไปขึ้นรถที่ติดเครื่องยนต์จอดรออยู่ ต่างคนต่างก็หาที่นั่งตามแต่จะชอบตรงไหน แล้วที่นั่งตรงที่เราเลือกนั่งในครั้งแรกนี้ เราก็จะนั่งตรงนี้ตลอดไปจนกระทั่งวันกลับ เพราะว่าการเดินทางมาเที่ยวพม่านี้ ส่วนใหญ่ก็จะนั่งรถเสมอ เพราะว่าสถานที่เที่ยวแต่ละแห่งนั้นอยู่ห่างไกลกันมาก

     เรียบร้อยกันหมดแล้ว รถก็เริ่มเคลื่อนที่ออกเดินทาง ไกด์คนพม่านั้นตั้งแต่พบกันก็ยังไม่ได้เอ่ยปากคุยอะไรสักคำ พอขึ้นรถแล้วก็แนะนำตัวทันที

ไปเที่ยวพม่า เจดีย์กลางน้ำเลย์ พญาแห่งเมืองสิเรียม

ไกด์นำเที่ยวในพม่าของคณะเรา กำลังเดินไปประจำที่ข้างหน้ารถใกล้ๆคนขับ เพื่อทักทายและอธิบายเรื่องต่างๆของประเทศพม่า

ไปเที่ยวพม่า

 ไปเที่ยวพม่า เจดีย์กลางน้ำเลย์ พญาแห่งเมืองสิเรียมไปเที่ยวพม่า เจดีย์กลางน้ำเลย์ พญาแห่งเมืองสิเรียม

เมื่อรถเคลื่อนที่เริ่มออกเดินทางท่ามกลางความตื่นเต้นของพวกเรา ที่เวลานี้ได้อยู่ในประเทศพม่าแล้ว รถเริ่มวิ่งไปเพื่อไปเที่ยวตามตารางที่เขาจะพาไป นายซายซาย หรือนายหนุ่มซึ่งอยู่ที่เบาะด้านหน้าคู่กับคนขับ ก็กล่าวสวัสดีกับลูกทัวร์ทั้งหลายทันทีว่า

“มิงกะลาบา”

พร้อมกับแนะนำตัวเองเสียยืดยาวด้วยภาษาไทย ว่า

"ยินดีที่ได้รู้จักพวกท่านทุกคนครับ ผมชื่อนายซายซาย (ต้องเรียกติดต่อกันไม่เว้นวรรค ) ผมมีชื่อเล่นว่า หนุ่ม ครับ จะเรียกผมว่าหนุ่มก็ได้ " แล้วยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็เล่าประวัติตัวเองอย่างยืดยาว ผสมมุขตลกให้พวกเราซึ่งนั่งอยู่ในรถได้ ขำๆ ฮาๆกันเป็นที่ครึกครื้น

นายซายซายเป็นคนมีอารมณ์ดี พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ผมว่าพูดชัดและรู้เรื่องกว่าคนไทยบางคนเสียอีก และมีอารมณ์ขันไปในตัวด้วย

เมื่อแนะนำตัวเองเสร็จแล้ว สิ่งแรกที่เขาบอกพวกผมคือ เรื่องภาษาพม่า ที่เขาอยากจะให้พวกเรารู้นิดหน่อยพอเป็นสังเขป เพื่อจะให้พวกเราที่มานี้สนุกและเป็นกันเองกับคนพม่าด้วย

นายซายซายบอกว่า ภาษาพม่า เป็นภาษาที่แตกต่างกับภาษาไทยอย่างสิ้นเชิง (ไม่เหมือนภาษาลาวที่พวกเราพอฟังออก) สิ่งที่ควรรู้เป็นอันดับแรกในภาษาพม่า ก็คือคำว่า

มิงกาลาบาแปลเป็นไทยว่า สวัสดีครับ คำนี้จะใช้ได้ตลอดวัน ไม่ว่าเวลาใด เช้า สาย บ่าย ค่ำ ดึกดื่นแค่ไหน เจอหน้ากันก็จะ มิงกาลาบา

ซึ่งไม่เหมือนของไทย และชาติอื่นๆ ซึ่งเขาจะสวัสดีกันโดยเปลี่ยนไปเป็นเวลาๆ

เจซูติน บาแด: ขอบคุณมาก,

ควินโละ บ่าหน่อ: ขอโทษ,

ตาตา: ลาก่อน

นายซายซายแกสอนพวกผมมากกว่านี้ครับ เพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกผมในการมาเที่ยวที่เมืองของเขาจะได้สนุกครึกครื้นและมีความสุขในขณะที่อยู่ในบ้านเมืองของเขายิ่งขึ้น

แต่ขออภัยเถอะครับ ผมและพรรคพวกก็ได้แค่มิงกาลาบาเท่านั้นแหละ อย่างอื่นๆลืมหมดเลยครับ

นายซายซายได้คุยกับพวกเราอย่างเป็นกันเอง ตามประสาไกด์ที่ดี เล่าบอกในเรื่องเล็กๆน้อยของพม่าอย่างละเอียด ใครมีอะไรที่สงสัยก็ถามได้ ไม่ว่าจะเวลานี้หรือเวลาไหน เพราะว่าเราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดในสามวันที่เมืองพม่านี้

ในขณะที่รถกำลังวิ่งผ่าน บ้านเรือนชุมชนต่างๆ นายซายซายก็บอกเรื่องที่ควรจะทราบ เช่น

   “หวังว่าในขณะที่รถวิ่งที่ท้องถนนนี้ พวกคุณคงเห็นแล้วว่า รถวิ่งชิดทางด้านขวาของถนน พวงมาลัยของรถจะอยู่ทางซ้ายมือของรถไม่เหมือนที่เมืองไทยนะครับ  ”

นายซายซายกล่าว ในขณะที่ทุกคนหันไปมองที่ถนน ที่รถยนต์วิ่งกันขวักไขว่

ไปเที่ยวพม่า เจดีย์กลางน้ำเลย์ พญาแห่งเมืองสิเรียม

   “ ที่พม่านี้รถยนต์ทุกคันมีป้ายทะเบียนรถเหมือนๆกับไทยและทุกประเทศทั่วโลก “

นายซาย ซายกล่าว แล้วมองมายังพวกเราเหมือนจะถามว่าใครมีอะไรที่จะภามหรือเปล่า

   “แต่ป้ายทะเบียนรถที่พม่านี้ จะไม่เหมือนของเมืองไทยนะครับ ”  นายซายซายหยุดพูดนิดหนึ่ง แล้วชี้ไปที่รถยนต์รถยนต์คันหนึ่งที่กำลังวิ่งนำหน้ารถของเราไปข้างหน้า

   “รถยนต์คันที่วิ่งไปข้างหน้านี้ ติดป้ายแดงตัวหนังสือสีขาว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นรถป้ายแดงที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆนะครับ แต่เป็นรถแท็กซี่นั่นเอง ” นายซายซาย ชี้ให้ดูรถกระบะบรรทุกอีกคันหนึ่งซึ่งวิ่งแซงเราไป

ไปเที่ยวพม่า เจดีย์กลางน้ำเลย์ พญาแห่งเมืองสิเรียม

  “ รถกระบะบรรทุกคันนั้น “ พร้อมกับชี้มือ

 “ก็ป้ายแดงเหมือนกัน ทั้งๆที่เก่าแล้วและเป็นรถบรรทุก อันนี้คุณต้องเข้าใจนะครับ สรุปแล้วรถที่รับจ้างทุกคัน ไม่ว่าจะเป็นรถใหญ่รถเล็กที่เข้าลักษณะรับจ้าง จะต้องติดป้ายแดงทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับรถใหม่ที่เพิ่งซื้อประการใด ” 

นายซายซาย หยิบน้ำขวดขึ้นมาดื่มอีกใหญ่ แล้วพูดต่อ

   “ส่วนรถส่วนบุคลเขาจะติดป้ายทะเบียน สีดำ ตัวหนังสือขาว นั่นคือรถส่วนตัวไม่ใช่รถรับจ้างครับ”

   “ป้ายทะเบียนรถของพม่านี้มีอีกหลายอย่างครับ ”

นายซายซายบอก เอาเป็นว่า รถยนต์ที่พม่านี้จะติดป้ายดังนี้นะครับ

รถส่วนบุคคล ป้ายทะเบียนสีดำ ตัวหนังสือสีขาว

รถนำเที่ยว ป้ายทะเบียนสีฟ้า ตัวหนังสือสีขาว

รถวัด ป้ายทะเบียนสีเหลือง

รถแท็กซี่ ป้ายทะเบียนสีแดง ตัวหนังสือสีขาว

ไปเที่ยวพม่า เจดีย์กลางน้ำเลย์ พญาแห่งเมืองสิเรียม

 ที่สี่แยกแห่งหนึ่งในเมืองย่างกุ้ง รถคันที่แซงเราไปเป็นรถส่วนบุคคลซึ่งป้ายทะเบียนสีดำ ตัวหนังสือสีขาว

รถแท็กซี่ ในพม่า ส่วนใหญ่จะไม่เปิดแอร์ (จริงๆ ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนะเพราะอากาศดีอยู่แล้ว) แต่ถ้าต้องการให้เขาเปิดแอร์ ก็เพิ่มค่าบริการให้สักเล็กน้อย นายซายซายพูดพร้อมกับหัวเราะ แล้วพูดต่อ

"ค่าแท็กซี่ในพม่าขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง เริ่มต้นที่ประมาณ 1,500 จั๊ต (ประมาณ 45 บาท) และเราควรศึกษาเส้นทางก่อนเรียกใช้บริการแท็กซี่ในพม่านะครับ "

"  แท็กซี่ในพม่าไม่เลือกค่ายรถนะครับ ดังนั้นไม่แปลกอะไรที่จะเห็น Honda Jazz และยี่ห้ออื่นๆที่ดังๆที่เราคุ้นเคยในเมืองไทย ก็เป็นแท็กซี่ในพม่า

ในย่างกุ้ง ไม่ค่อยเห็นรถมอเตอร์ไซค์ หรือ จักรยานนะครับ แปลกดีเหมือนกัน รถกระบะแบบบ้านเรา ก็ไม่เห็น มีก็เป็น มินิทรัค ไปเลย รถประจำทางในพม่า จะไม่มีแบบปรับอากาศนะครับ แม้แต่ในย่างกุ้ง และจะสังเกตได้ว่า คนแน่นทุกคัน รถสองแถว วินมอเตอร์ไซค์ วินรถตู้ ไม่มีให้เห็น "

 นายซายซาย อธิบายเสียยืดยาว

 นายซายซาย บอกว่าอีกว่า

"สิ่งสำคัญที่ควรรู้ในตอนที่เราอยู่ที่พม่านี้ คือเรื่องเงินของพม่า"

“ ที่พม่าจะไม่มีการใช้เหรียญนะครับเพราะว่าเขาไม่ได้ทำเหมือนเมืองไทย ธนบัติที่นิยมใช้อยู่ 100 จั๊ต (เริ่มหายาก และสภาพเก่ามาก เพราะไม่พิมพ์เพิ่มแล้ว ) 500 จั๊ต, 1000 จั๊ต, 5000 จั๊ต ราคาสินค้ายังมีเศษที่ต่ำกว่า 100 จั๊ต เช่น 470 จั๊ต 540 จั๊ต คำถามคือ แล้วจะทอนกันยังไง “

 นายซายซายกล่าวแล้วยกขวดน้ำขึ้นมากรอกเข้าปากอีกอึกใหญ่ แล้วกล่าวต่ออีกว่า

 “ ก็ง่ายๆ ครับ คือ ไม่ทอน ฮ่า ฮ่า ฮ่า “  นายซายซาย หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

 “เช่น ถ้าคุณซื้อของราคา 470 จั๊ด แล้วคุณจ่ายแบงค์ 500 จั๊ด ที่จริงต้องทอน 30 จั๊ด แต่คุณอาจจะได้ใบเสร็จราคา 470 จั๊ด แต่เงินทอน 30 จั๊ดไม่ได้นะครับเขาจะไม่มีตังค์ทอนให้ “

 “ แต่ไม่ต้องตกใจหรอก เพราะเค้าก็ไม่รู้จะหาเงินทอนที่ไหนมาทอนคุณเหมือนกัน บางร้านอาจจะใจดีให้ลูกอมแทนเงินทอนแค่นั้นก็จบ เรื่องนี้ต้องทำใจนะครับอย่าคิดอะไรมาก “ แล้วนายซายซายก็หัวเราะลงลูกคอเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี มองเห็นฟันทองที่เลี่ยมเอาไว้ทางมุมปากด้านขวาเหลืองอร่าม

 “อีกเรื่องคือเรื่องภาษี ราคาสินค้าในห้างบางห้าง บางรายการ ราคาอาจจะยังไม่รวมภาษีภาษีนะครับ คุณอาจจะโดนชาร์จภาษี ณ จุดชำระเงิน ก็อย่าหงุดหงิดนะครับ”  

นายซายซายอธิบายเรื่องต่างๆในพม่าต่อไปอีกอย่างยืดยาว

เรื่องเงินของพม่านี้ โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อเรามาจากเมืองไทยก็พกเงินบาทมาทั้งนั้น แต่อาจจะมีบางคนที่แลกจากเงินบาทเป็นเงินจั๊ดของพม่าแล้ว แต่เท่าที่เห็นก็มีน้อยคน ส่วนใหญ่ก็จะมาแลกเงินเอาที่พม่าทั้งนั้น เมื่อตอนที่ขึ้นรถกันแล้วนั้น นายซายซายเขาจะถามว่ามีใครต้องการแลกเงินบ้าง เพื่อความสะดวกไกด์จึงได้เตรียมเงินมาให้แลกด้วย โดยคิดอัตราการแลกคือ 1 บาทไทยเท่ากับ 30 จั๊ด แลก 1,000 บาทก็เท่ากับ 30,000 จั๊ด ซึ่งก็เหมาะสมดี อัตราการแลกเงินนั้นไม่แน่นอนในแต่ละวัน แต่ในวันที่ผมไปนั้นก็อยู่ในอัตรานี้ครับ

ไปเที่ยวพม่า เจดีย์กลางน้ำเลย์ พญาแห่งเมืองสิเรียม

 

ไปเที่ยวพม่า เจดีย์กลางน้ำเลย์ พญาแห่งเมืองสิเรียม

เงินไทย 1,000 บาท แลกกับไกด์ชาวพม่า จะได้ 30,000 จั๊ด แลกในขณะที่กำลังเดินทางอยู่บนรถ

เมื่อเราได้แลกเงินกับไกด์แล้วก็เป็นอันหมดปัญหาในเรื่องเงิน และจะซื้ออะไรก็คล่องตัวยิ่งขึ้น รถบัสทัวร์ที่บริษัททัวร์จัดไว้ให้ คันใหญ่พอสมควรแต่เป็นรถชั้นเดียว ไม่ได้เป็นรถบัสขนาดใหญ่ที่มีสองชั้น แต่ก็นั่งสบาย คนขับก็ขับด้วยความชำนาญยิ่งนัก 

ในจุดแรกที่เขาจะพาเราไปเที่ยวในตอนนี้เสียก่อน ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของพวกนักท่องเที่ยวทั้งหลาย ที่บริษัททัวร์มักจะจัดอยู่ในโปรแกรมของเขา ที่แห่งนั้นคือ เจดีย์กลางน้ำที่มีชื่อว่า เจดีย์เยเลพญา เป็นเจดีย์กลางน้ำที่สร้างขึ้นมานับเป็นพันๆปีแล้ว แห่งเมืองสิเรียม

ตอนนี้กำลังเดินทางไป เราไปเที่ยวกันนะครับ 

 

ติดตามตอนต่าง ๆ ของเรื่อง "ไปเที่ยวพม่า" ได้ตามลิงค์ข้างล่างครับ

 

 share sija

ถนนคนเดินปราณบุรี ตลาดเก่าปราณบุรี

     ถนนคนเดินปราณบุรี ตั้งอยู่ที่ หลังสถานีรถไฟปราณบุรี ชุมชนบริเวณนี้ส่วนใหญ่ยังคงรักษาลักษณะของบ้านเรือน เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น รวมทั้งความเป็นตลาดเก่า ซึ่งมีอายุนับ 200 ปี ทำให้เมื่อเราเข้ามาเดินเที่ยวชม จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศและความรู้สึกย้อนยุค กลับไปสู่ตลาดโบราณนับสองร้อยปีทีเดียว

ถนนคนเดินปราณบุรี ตลาดเก่าปราณบุรี

อ่านเพิ่มเติม...